พระพิษณุโลก | Prapsl.com

พระพิษณุโลก | Prapsl.com

ลำดับ 434 พระพิจิตรเกศคด พิจิตร

  
                          พระพิจิตรเกศคด เนื้อชิน สนิมแดง พิจิตร

 จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี

"พิจิตร" เปลี่ยนทางมาที่นี่ สำหรับความหมายอื่น ดูที่ พิจิตร (แก้ความกำกวม)
จังหวัดพิจิตร
ตราประจำจังหวัดพิจิตร
ตราประจำจังหวัด
ถิ่นประสูติพระเจ้าเสือ แข่งเรือยาวประเพณี พระเครื่องดีหลวงพ่อเงิน เพลิดเพลินบึงสีไฟ ศูนย์รวมใจหลวงพ่อเพชร รสเด็ดส้มท่าข่อย ข้าวเจ้าอร่อยลือเลื่อง ตำนานเมืองชาละวัน
ข้อมูลทั่วไป

พิจิตร เดิมสะกดว่า พิจิตร์[3] เป็นจังหวัดที่ตั้งอยู่ทางภาคเหนือตอนล่าง ภาคกลางตอนบน มีความหมายว่า "เมืองงาม" ตั้งอยู่ระหว่างจังหวัดนครสวรรค์กับจังหวัดพิษณุโลก มีแม่น้ำน่านและแม่น้ำยมไหลผ่าน ตัวเมืองอยู่ริมฝั่งแม่น้ำน่าน พิจิตรเป็นเมืองเก่าแก่ในสมัยสุโขทัย ปรากฏข้อความในศิลาจารึกหลักที่ 1 ของพ่อขุนรามคำแหงมหาราช และในศิลาจารึกหลักที่ 8 รัชกาลพระยาลิไท เรียกว่า "เมืองสระหลวง" ซึ่งมีสถานะเป็นหัวเมืองเอกของกรุงสุโขทัย ต่อมาในสมัยอยุธยา รัชสมัยของสมเด็จพระบรมไตรโลกนาถได้เปลี่ยนชื่อเป็น "เมืองโอฆบุรี" ซึ่งแปลว่า "เมืองในท้องน้ำ" ตามตำนานกล่าวว่า พระยาโคตรบองเป็นผู้สร้างเมืองพิจิตร แต่จะสร้างในสมัยใดไม่ปรากฏ นอกจากนี้ เมืองพิจิตรยังเป็นที่ประสูติของพระมหากษัตริย์แห่งกรุงศรีอยุธยาพระองค์หนึ่งคือ สมเด็จพระสรรเพชญ์ที่ 8 (พระเจ้าเสือ)
ในสมัยอยุธยา พิจิตรเป็นหัวเมืองชั้นตรี มีตำแหน่งเจ้าเมืองปรากฏตามพระไอยการตำแหน่งนาพลเรือนนาทหารหัวเมืองว่า ออกญาเทพาธิบดีศรีรณรงค์ฤๅไชยอภัยพิรียภาหะ ศักดินา 5,000 ไร่ ซึ่งถือว่าเป็นขุนนางบรรดาศักดิ์ระดับสูง ในสมัยกรุงศรีอยุธยามีหัวเมืองชั้นตรีเพียง 7 เมืองเท่านั้น คือ เมืองพิชัย เมืองพิจิตร เมืองนครสวรรค์ เมืองพัทลุง เมืองชุมพร เมืองจันทบูร และเมืองไชยา จึงนับว่าในสมัยโบราณ พิจิตรเป็นเมืองที่ค่อนข้างจะมีความสำคัญสูง จนตำแหน่งเจ้าเมืองมีการตราไว้ในพระไอยการฯ ซึ่งสมเด็จพระบรมไตรโลกนาถได้ทรงตราไว้
ในสมัยรัตนโกสินทร์ เมืองพิจิตรเป็นเพียงเมืองขนาดเล็ก แต่ก็ยังมีเจ้าเมืองปกครองดังเช่นเมืองอื่น ๆ เมื่อถึงสมัยรัชกาลที่ 5 โปรดให้ย้ายเมืองพิจิตรมาตั้งที่บ้านคลองเรียง ซึ่งเป็นคลองขุดใหม่ลัดแม่น้ำน่านที่ตื้นเขิน คลองเรียงจึงกลายเป็นแม่น้ำน่านไป ส่วนบริเวณเมืองพิจิตรเก่ายังปรากฏโบราณสถานอยู่หลายแห่ง ซึ่งมีอายุตั้งแต่สมัยสุโขทัยถึงสมัยอยุธยา
จังหวัดพิจิตรและพระเกศคด
โดย สยามมีเดีย นิวส์9 พฤศจิกายน 2550
โดย.....นภา อัมพร 
                ได้มีผู้ขุดพบจารึกบนแผ่นอิฐขนาดกว้าง 8-11/16นิ้ว ยาว 10-7/8 นิ้ว ในบริเวณที่เป็นศาลาหลักเมืองพิจิตรปัจจุบัน มีข้อความเป็นอักษรขอมโบราณ หลังจากที่กรมศิลปากรได้ให้ผู้เชี่ยวชาญถ่ายทอดเป็นภาษาไทยอ่านได้ว่า “สุนธร” หรือตรงกับคำว่า “สุนทร” ที่แปลว่า งาม ดี ไพเราะ  ทั้งยังตรวจสอบและลงความเห็นว่าวิธีเขียนลายจารึกลักษณะนี้น่าจะอยู่ในราว พ.ศ. 1621-1712

          จากหลักฐานทางประวัติศาสตร์ระบุว่า พระเจ้ากาญจนกุมารทรงสร้างเมืองเมื่อ พ.ศ. 1601 โดยใช้เวลา 1 ปี แล้วพระราชทานนามเมืองนี้ว่า “พิจิตร” ที่แปลว่างาม ชื่อเมืองกับหลักศิลาจารึก ความหมายเหมือนกันจะเกี่ยวข้องกันอย่างไร หรือไม่เป็นเรื่องที่นักประวัติศาสตร์จะต้องศึกษาและค้นคว้าต่อไป
          จนกระทั่งปี พ.ศ. 2410 ปลายสมัยรัชกาลที่ 4 แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ ชาวจีนทำไร่ฝ้ายอยู่ที่บ้านดงเศรษฐี ได้ขุดคลองที่ท้องคุ้ง เพื่อเอาดินมาทำปุ๋ยและใช้น้ำในการเกษตร
          ต่อเมื่อฤดูน้ำหลาก เกิดเรื่องใหญ่ กระแสน้ำที่เชี่ยวกรากไหลกัดเซาะเข้าคลองลัด ที่บ้านท่าฬ่อ ไปบรรจบกับคลองท่าหลวง และคลองคัน เลยไปถึงคลองห้วยคด คลองบุษบงเหนือ คลองบุษงใต้ ของอำเภอบางมูลนาค เกิดเป็นลำน้ำใหญ่ไหลไปบรรจบกับลำน้ำยมที่เกยไชย อำเภอชุมแสง แล้วไหลสู่เจ้าพระยาที่ปากน้ำโพ
          ส่วนลำน้ำเก่าตั้งแต่บ้านดงเศรษฐี บ้านคลองคะเชนทร์ โรงช้างเมืองเก่า โพธิ์ประทับช้าง วังสำโรงเขตตะพานหิน วัดเขลาง ทุ่งน้อยท่าบัว บ้านน้อยจนถึงลำน้ำยมที่บางคลาน โพทะเล ค่อยๆเล็กลง และตื้นเขิน เมื่อสายน้ำเปลี่ยนไป ชาวเมืองก็โยกย้ายตามลำน้ำไปด้วย “หลวงธรเนนทร์” เจ้าเมืองจึงได้ย้ายเมืองจาก    ตำบลเมืองเก่า ไปตั้งที่บ้านปากทาง เมื่อพ.ศ. 2424
          ต่อมาก็ถูกสายน้ำเปลี่ยนเส้นทางพัดพังอีก เพราะกระแสน้ำสายที่เกิดใหม่ยังไม่เป็นไปตามธรรมชาติ “พระชาติตระการ” เจ้าเมืองจึงได้ย้ายเมืองอีกครั้งในปี 2473 สมัยรัชกาลที่ 7 พิจิตรในปัจจุบัน จึงห่างจากที่ตั้งเดิมอีก 9 กิโลเมตร ส่วนตำแหน่งเมืองเก่าอยู่ตรงบริเวณกลางแม่น้ำที่สะพานพระพิจิตรในปัจจุบัน       

ก็ไม่ยืนยันเหมือนกันว่า ชาวจีนคนขุดคลองผู้เปลี่ยนประวัติศาสตร์ จะตกใจสักเพียงใด แต่ เรื่องของประวัติสายน้ำ น่าสำรวจ

เส้นทาง ท้าทายนักท่องเที่ยวเป็นอย่างยิ่ง
          ในสมัยสุโขทัย พิจิตรหรือเมืองสระหลวง มีความสำคัญทางยุทธศาสตร์ ด้านศาสนาก็เจริญรุ่งเรืองที่เป็นหลักฐานปรากฎพบพระปรางค์ และสถูปทรงระฆังที่วัดมหาธาตุ ซึ่งสร้างร่วมสมัยกับสุโขทัย
          มาสมัยอยุธยา สมัยพระบรมไตรโลกนารถ ยกพิจิตรเป็นเมืองตรีเทียบเท่านครสวรรค์ เคยเสด็จมายัง “บึงสีไฟ” บึงน้ำใหญ่เนื้อที่ประมาณ 12,000 ไร่ จึงได้พระราชทานอีกนามหนึ่งว่า “โอฆะบุรี” อันหมายถึง “ห้วงน้ำ”
          ในสมัยพระนารายณ์ฯ ได้เดินทัพกลับจากหัวเมืองฝ่ายเหนือ สู่กรุงศรีอยุธยา ได้หยุดพักไพร่พลช้างม้า ที่ร่มโพธิ์แห่งหนึ่ง ต่อมาที่ตรงนั้นกลายเป็นหมู่บ้านเรียกขานกันว่า “โพธิ์ประทับช้าง”
          ในขบวนทัพครั้งนั้น พระเพทราชา และชายาได้โดยเสด็จมาด้วย ทั้งยังได้คลอดบุตรที่นั่นและฝังรกไว้ใต้ต้นมะเดื่อ ทารกจึงถูกเรียกขานว่า “นายเดื่อ” ซึ่งต่อมาได้ขึ้นครองราชเป็น “พระศรีสรรเพชรที่ 8” หรือ “ขุนหลวงสรศักดิ์” ที่ชาวบ้านเรียกขานติดปากว่า “พระเจ้าเสือ” ซึ่งพระองค์ได้กลับมาสร้างวัด โพธิ์ประทับช้าง (พ.ศ. 2243)ในเวลาต่อมา
          กรุงศรีอยุธยาราชธานีแห่งจอมปราชญ์ราชบัณฑิต ในจำนวนนี้ พระมหา ราชครูถือว่าเป็นเอก ท่านถือกำเนิดที่เมืองสระหลวง และลูกชายของท่านคือ “ศรีปราชญ์” มหากวีที่ยิ่งใหญ่นั่นเอง
          ในสมัยธนบุรี ทหารพิจิตรเข้าร่วมรบในกองทัพพระยาตาก ช่วยปราบก๊กต่างๆ จนถึงก๊กพระฝาง แล้วตามเสด็จไปตั้งรกรากยังกรุงธนบุรีเป็นจำนวนมากมาย
         พวกเรานั่งรถตู้จากจากนครสวรรค์ ถึง “โพธิ์ไทรงาม” จังหวัดพิจิตร ระยะทางเพียง 42 กิโลเมตร แต่ทางยังคงเป็นเส้นเดียวแบบเก่าที่ต้องระวังรถแซง หรือรถสวน ไม่ขึ้นทางลงทางเหมือนบ้านอื่นเมืองอื่น
          สองข้างทางสวยเขียวชะอุ่ม เรือกสวน และไร่นาหลากชนิด มีทั้งแปลงถั่วใต้ดิน ถั่วค้าง สวนชมพู่ออกลูกเต่งๆ สวนฝรั่งลูกอวบๆ แปลงอ้อยพันธุ์ นาข้าว บ่อเลี้ยงกบฯลฯ และสวนไผ่ตงที่ปลูกมาตั้งแต่สมัยปู่ย่า ที่พลิ้วไสวไปตามกระแสลมพัดให้กอเสียดสีกัน ประหนึ่งเสียงเพลง
          แต่จังหวัดพิจิตรนี้อาภัพนัก แม้ธรรมชาติจะงาม แต่การพัฒนาด้านความสะดวกสบาย ยังห่างไกลจากเมืองอื่น เพราะเขาว่าพิจิตรเป็นเมืองปิด จึงไม่ได้รับการเอาใจใส่เท่าที่ควร
          สมัยพระเจ้าเสือ พระองค์ยังกลับมาสร้างวัด “โพธิ์ประทับช้าง” ที่บ้านเกิด แต่หลังจากยุคนั้น ก็น้อยนักที่ใครจะกลับมาสร้างมาดูแล ทั้งๆ ที่อย่างทางเข้าวัดถ้าจะทำกันจริงๆ ดีไม่ดีค่าทำทางลาดยาง ราคายังไม่เท่ากับไวน์ 20 ขวดด้วยซ้ำ
          คิดดู ห่างนครสวรรค์นิดเดียว แต่ความเจริญต่างกันลิบลับ
          พิจิตร ยังมีของดีอีกหลายอย่าง โดยเฉพาะผู้ที่นิยมพระเครื่อง ที่นับว่าเก่าแก่ตั้งแต่สมัยสุโขทัย มาถึงอยุธยา ที่นักสะสมบางท่านเก็บไว้ในลักษณะของพุทธศิลป์ บางท่านก็เชื่อในลักษณะเครื่องรางของขลัง ซึ่งลักษณะพิเศษของพระเครื่องเมืองพิจิตร ที่แปลกไปจากพระเมืองอื่นๆ คือพระเกศมาลาจะคด และฐานเอียง จึงมีคำเรียกของบรรดาเซียนพระว่า “พระพิจิตรเกศคด”
          ที่มาของพระพิจิตรเกศคด นั้นเล่าขานกันว่า เมืองพิจิตรครั้งอดีตเป็นเส้นทางยุทธศาสตร์ เพราะเป็นเมืองหน้าด่าน มีการรบทัพจับศึกอยู่เสมอ นักรบจากพิจิตร ได้สร้างวีรกรรมไว้ลายยุคหลายสมัย เพราะความกล้าหาญนี้เองทำให้ทหารจากพิจิตรจะถูกเรียกใช้จากแม่ทัพนายกองอยู่เสมอ จึงมีลัญลักษณ์การแต่งกายของทหารพิจิตรให้แตกต่างจากเหล่าอื่นโดยให้ติดอุณาโลมที่หน้าหมวกเฉไป   
          ประกอบกับในช่วงนั้น ได้มีเกจิอาจารย์จากวัดต่างๆ สร้างพระเครื่องขึ้นมาเพื่อแจกลูกหลานพิจิตร ให้แคล้วคลาดปลอดภัยในสมรภูมิ ทั้งยังเป็นที่ยึดเหนี่ยว เป็นกำลังใจให้นำชัยกลับมา และเพื่อให้สอดคล้องกับชุดทหาร พระเครื่องจึงถูกสร้างให้ “เกศคด” ไปด้วย เมื่อวัดหนึ่งทำ วัดอื่นๆก็ตาม ต่อมาจึงกลายเป็นสัญลักษณ์ ว่าถ้าเป็นพระพิจิตร ต้องเกศคด
          ลักษณะพิเศษนี้เองเป็นประโยชน์ต่อคนชั้นหลัง ในการศึกษา พุทธลักษณะ ของศิลปะพระพุทธรูปในยุคต่างๆ ทำให้การตรวจสอบทำได้ง่ายขึ้น เช่นหากจะดูพระเชียงแสน ให้สังเกต พระเกศมาลา จะเป็นดอกบัวตูม สมัยลพบุรี พระพักตร์เป็นเหลี่ยมชัดเจน สมัยสุโขทัยจะอ่อนช้อย ฯลฯ เป็นต้น
          พระเครื่องเมืองพิจิตรมีหลายรุ่น เช่น พระพิจิตรเม็ดข้าวเม่า พระพิจิตรสามเกศ พระพิจิตรใบตำแย พระพิจิตรใบมะขาม พระพิจิตรนาคปรก พระพิจิตรกรุน้ำหรือกรุป้อม พระพิจิตรกรุส้ม พระพิจิตรกรุข้างเมือง พระพิจิตรกรุหัวเมือง พระพิจิตรตีนโด่ พระพิจิตรตีนโด่ใบข้าว พระพิจิตรกรุมะละกอ พระพิจิตรกรุตาภู่ พระพิจิตรใบมะยม พระพิจิตรกรุโฉงตาพล พระพิจิตรหลังผ้า พระพิจิตรเรือนแก้ว พระพิจิตรคู่เรือนแก้ว พระพิจิตรดำ พระพิจิตรท่าฉนวน พระพิจิตรใบเสมา พระพิจิตรบุเงินบุทอง พระกำแพง 500 หรือพระแผง พระพิจิตรพระเจ้าองค์เดียว พระพิจิตรกรุมะเกลือ พระพิจิตรกำแพงเขย่ง
          หากจะนำรายละเอียดของพระพิจิตรแบบต่างๆ คงต้องใช้เวลาและเนื้อที่มากทีเดียวจึงขอยกเอาแต่พอสังเขป แค่ 2 แบบ คือ “เม็ดข้าวเม่า” ซึ่งเป็นชื่อแรก และ กำแพงเขย่ง ชื่อหลังสุด
          “พระพิจิตรเม็ดข้าวเม่า” มีความเกี่ยวเนื่องกับวรรณคดีเรื่องขุนช้างขุนแผน คงเป็นเพราะผู้ประพันธ์ ต้องการให้เรื่องราวมีความสมจริงสมจัง จึงได้เอาวรรณคดี ไปผูกกับสถานที่ และเหตุการณ์จริงในสมัยกรุงศรีอยุธยา ซึ่งกล่าวกันว่า “ศรีมาลา” ภรรยาคนหนึ่งของขุนแผนนั้น เป็นลูกสาวเจ้าเมือง บิดามีบรรดาศักดิ์เป็น “พระพิจิตร” และเชื่อกันว่า พระพิจิตรท่านนี้คือผู้สร้าง พระเม็ดข้าวเม่า ซึ่งมีลักษณะ 2 แบบคือปางสมาธิขัดสมาธิราบ และปางนาคปรกขัดสมาธิเพชร เป็นรูปกลมเล็กๆ หรือไม่ก็ ทรงรีรูปไข่ เท่าเม็ดข้าวเม่า ทำด้วยเนื้อชินผสมเหล็กน้ำพี้ ที่นำมาจากบางโพธิท่าอิฐ ปัจจุบันบ่อเหล็กน้ำพี้ อยู่ในตำบลน้ำพี้ อำเภอเมืองฯ จังหวัดอุตรดิตถ์ เชื่อกันว่า “เม็ดข้าวเม่า” มีคุณด้านเมตตามหานิยม และคงกะพันชาตรี
          สำหรับ “กำแพงเขย่ง” สร้างสมัยสุโขทัย โดยย่อส่วนของ “พระปางลีลา” ตอนที่พระพุทธองค์ เสด็จกลับจากโปรดพุทธมารดาในดาวดึงค์เทวโลก ขุดพบจากกรุเมืองเก่าหลายแห่ง เป็นพระเนื้อชิน ลักษณะคล้ายพระใบข้าว ผิดกันแต่ที่พระบาทข้างหนึ่งเป็นปุ่มยื่นออกมา จึงทำให้มีชื่อเรียกอีกชื่อว่า “พระกำแพงเขย่งตีนโด่”

         สำหรับองค์นี้ เป็นพิจตรข้างเม็ด เกศคต เนื้อชินสนิมแดงเกศคตครับ
          
         พุทธคุณ   คงกระพันชาตรี แคล้วคลาดปลอดภัย
         สภาพ   ผิวเปิด ดูง่าย
         ราคา   ติดต่อสอบถาม

Close Menu