

พระร่วงกวาดลาน กรุทับข้าว เนื้อผง สุโขทัย
ความรู้เกี่ยวกับพระพิมพ์เนื้อผงพุทธคุณ
กรุวัดทัพข้าวจังหวัดสุโขทัย
โดย อาจารย์อริยะ สุพรรณเภษัช
ผู้อำนวยการศูนย์ศึกษามวลสารพระสมเด็จฯ
พระพิมพ์เนื้อผงพุทธคุณ กรุวัดทัพข้าว (บางคนเรียก ทัพเข้า หรือ ทับข้าว) เป็นพระที่มีอายุการสร้างเก่าแก่ โดยสร้างมาก่อนพระสมเด็จวัดระฆัง ของสมเด็จพุฒาจารย์โต พรหมรังสี จากการได้รับความรู้จากนักนิยมพระเครื่องเนื้อผงอาวุโส เกี่ยวกับเรื่องราวของพระผงกรุวัดทัพข้าว ซึ่งท่านได้กล่าวว่าพระกรุนี้มีสามยุคด้วยกัน
ยุคแรกสร้างสมัยสุโขทัย มีอายุมากกว่า 700 ปีเป็นพระเนื้อดินผสมผงพุทธคุณเนื้อขาวสะอาดและแกร่งเป็นหิน พบเปิดกรุที่จังหวัดสุโขทัย โดยนายเต็ง ไม่ทราบนามสกุล เป็นชาวบ้าน ตำบลกรุงเก่า อำเภอเมือง จังหวัดสุโขทัย เป็นผู้ไปขุดพบพระกรุนี้เมื่อประมาณปี พ.ศ. 2480 พระที่พบทั้งหมดมีพิมพ์ทรงต่าง ๆ เช่น พิมพ์พระร่วงยืนปางประธานพร พิมพ์พระร่วงนั่ง พิมพ์ยืนลีลา เป็นต้น
ยุคที่สองสร้างสมัยรัตนโกสินทร์ตอนต้น (ประมาณสมัยรัชกาลที่ 3 ถึง รัชกาลที่ 5) มีอายุประมาณ 150-200 ปี เป็นพระผงพุทธคุณที่มีเนื้อหาจัดจ้านคล้ายกับพระสมเด็จวัดระฆัง และมีพิมพ์ทรงมากมาย เช่น พิมพ์พระหลวงพ่อโต พระขุนแผนห้าเหลี่ยม พระขุนแผนไข่ผ่า พระสาม พระนารายณ์ทรงปืน พระร่วง ฯ โดยจัดสร้างล้อพระพิมพ์ในยุคโบราณเป็นสำคัญ พระยุคนี้สันนิษฐานกันว่าสมเด็จพุฒาจารย์โต พรหมรังสี น่าจะมีส่วนในการสร้าง เนื่องจากเมื่อศึกษาเนื้อหามวลสารและสภาพธรรมชาติของพระยุคนี้แล้ว พบว่าหนีไม่ออกจากสูตรการสร้างของพระสมเด็จวัดระฆัง นอกจากนี้ยังพบพระพิมพ์เหล่านี้บางพิมพ์ในกรุในองค์พระยืนหลวงพ่อโต วัดอินทรวิหารด้วย
ยุคที่สามสร้างสมัยรัชกาลที่6 ถึงรัชกาลที่ 9 พระยุคนี้มีการสร้างพระพิมพ์โบราณเลียนแบบพระกรุวัดทัพข้าวที่มีอยู่เดิม ผู้สร้างที่มีชื่อเสียงในยุคนี้ ได้แก่ หลวงพ่ออ้าว หลวงปู่เผือก วัดกิ่งแก้ว เป็นต้น พระพิมพ์ที่พบมักมีเนื้อหาอ่อนกว่าพระยุคที่สอง แต่มีบางพิมพ์ทำเลียนแบบพระกรุวัดทัพข้าวยุคเก่า เช่น พิมพ์หลวงพ่อโต พิมพ์ขุนแผน เป็นต้น พระยุคนี้ทำให้เกิดการเล่นสับสนกับพระกรุวัดทัพข้าวยุคแรกและยุคสอง ทำให้เซียนบางคนตีเหมารวมว่าพระพิมพ์กรุวัดทัพข้าวเป็นพระเก๊ไปทั้งหมด ดังนั้นการศึกษาพระกรุวัดทัพข้าวจะต้องแยกแยะระหว่างพระที่สร้างยุคเก่าและยุคใหม่ให้ออก โดยยึดสภาพธรรมชาติที่เก่าแก่และเนื้อหามวลสารจัดถึงยุคเป็นสำคัญ
สำหรับพระกรุวัดทัพข้าวที่สร้างสมัยรัตนโกสินทร์นั้น ผู้รู้ได้กล่าวถึงต้นกำเนิดว่ามีหลายสมมติฐานด้วยกัน
สมมติฐานแรกสร้างสมัยรัชกาลที่ 3 ผู้สร้างคือ ขรัวตาแสง วัดมณีชลขันธ์ จังหวัดลพบุรี ซึ่งเป็นพระอาจารย์เอกทางกรรมฐานของสมเด็จโต ซึ่งสมเด็จโตท่านได้พบขณะที่เดินธุดงค์ผ่านจังหวัดอยุธยา ในช่วงที่ท่านปลีกวิเวกจาริกในป่าตลอดระยะเวลา 15 ปีที่รัชกาลที่ 3 ทรงครองราชย์อยู่ ซึ่งท่านอาจารย์แสงมีความเมตตาต่อสมเด็จโตได้สอนวิชาย่นระยะทางและคาถาอาคมภูตพรายไสยเวทย์ให้สมเด็จโตอย่างเต็มที่ สำหรับการสร้างพระพิมพ์ของท่านอาจารย์แสงนั้น ท่านได้สร้างพระเนื้อผงพุทธคุณตามตำรับโบราณของพระเครื่องเมืองสุโขทัย ในสมัยรัชกาลที่ 3 ท่านได้สร้างพระพิมพ์ต่าง ๆ ไว้มากมายหลายพิมพ์ทรง โดยได้นำไปบรรจุกรุไว้ในจังหวัดสุโขทัยและจังหวัดอยุธยา พระพิมพ์ที่สร้าง ได้แก่ พระพิมพ์สมเด็จก้างปลา ที่หายากที่สุด พระพิมพ์ที่ล้อพระพิมพ์ต่าง ๆ ในจังหวัดลพบุรี เช่น พิมพ์ทรงนารายณ์ทรงปืน พิมพ์พระสามตรีกาย เป็นต้น พระพิมพ์ที่ล้อพระพิมพ์โบราณต่าง ๆ ในจังหวัดอยุธยา เช่น พระพิมพ์หลวงพ่อโต พระขุนแผนไข่ผ่า พระพิมพ์ขุนแผนห้าเหลี่ยม เป็นต้น ซึ่งหลังขององค์พระนั้นจะมีสองแบบ คือ แบบหลังเรียบ ที่จะพบในพระพิมพ์ที่บรรจุกรุไว้ที่จังหวัดอยุธยา และแบบหลังหูไห่ จะพบในพระพิมพ์ที่บรรจุกรุไว้ที่จังหวัดสุโขทัย ซึ่งข้อสังเกตของพระที่มีหลังพระแบบหลังหูไห่ องค์พระมักจะทำให้มีเนื้อหาหนาและมีรูสองรูไว้ข้างหลังองค์พระ ที่เรียกว่า พิมพ์ทรงหูไห่ ซึ่งพิมพ์ทรงกรุวัดทัพข้าวที่เป็นที่นิยมมากก็คือพิมพ์ทรงหลวงพ่อโตหูไห่ ซึ่งพระกรุนี้นับว่าเป็นพระผงพุทธคุณตระกูลหนึ่งที่น่าสนใจเพราะเป็นพระผงที่มีอายุเก่าแก่กว่าพระสมเด็จและมีเนื้อหาที่จัดจ้านเป็นอย่างมากคล้ายกับพระสมเด็จวัดระฆัง เหมาะสำหรับผู้ที่สนใจศึกษาในเนื้อหาพระสมเด็จเก็บสะสมไว้เป็นองค์ครูสำหรับการศึกษาเนื้อหามวลสารของพระสมเด็จวัดระฆัง
ซึ่งเซียนอาวุโสบางท่านกล่าวว่าพระกรุนี้สมเด็จโตอาจมีส่วนร่วมในการสร้างและปลุกเสกร่วมด้วยกับหลวงตาแสงพระอาจารย์ของท่านก็ได้เพราะท่านธุดงค์มาอยู่ร่วมกับหลวงตาแสงในระหว่างรัชสมัยของรัชกาลที่ 3 ทั้งยังเชื่อว่าสมเด็จโตได้รับการถ่ายทอดความรู้เกี่ยวกับพิธีกรรมและกระบวนการสร้างพระเนื้อผงพุทธคุณตามตำรับโบราณจากแผ่นจาริกที่ได้มาจากการแตกกรุของเจดีย์โบราณในจังหวัดสุโขทัย ทำให้เป็นพื้นฐานสำคัญของการสร้างพระสมเด็จของท่านเองในระยะต่อมา
สมมติฐานที่สองเชื่อว่าผู้สร้างคือ สมเด็จพุฒาจารย์โต พรหมรังสี โดยข้อมูลจากหนังสือพระสมเด็จ ที่รจนาโดยตรียัมปวาย ได้บันทึกคำพูดของ พระอาจารย์ขวัญ วิสิฏโฐ วัดระฆัง ศิษย์ของพระธรรมถาวร ซึ่งเป็นภิกษุร่วมสมัยกับสมเด็จโตและมีส่วนร่วมในการสร้างพระสมเด็จวัดระฆัง ได้กล่าวไว้ว่า ในสมัยเริ่มแรกของการสร้างพระสมเด็จนั้น เจ้าพระคุณสมเด็จฯ ยังไม่ได้ดำริว่ารจะสร้างพระขึ้นเป็นแบบอย่างของท่านโดยเฉพาะ ดังนั้นท่านจึงได้ถ่ายทอดแบบพิมพ์ของพระเครื่องโบราณ ที่มีชื่อเสียงกิตติคุณในยุคก่อน ๆ มาเป็นแบบอย่าง เช่น แบบพระขุนแผน แบบหลังไข่ผ่า แบบพระนางพญา แบบพระกำแพงเม็ดขนุนทุ่งเศรษฐี ฯ
สมุดโบราณที่คัดลอกบันทึกของหลวงปู่คำ วัดอมรินทร์
รวมทั้งจากข้อมูลสำคัญที่บันทึกประวัติของสมเด็จโตโดยหลวงปู่คำ วัดอัมรินทร์ เกจิอาจารย์ร่วมสมัยกับสมเด็จโต และมีความใกล้ชิดกับสมเด็จโตมาก จากหนังสือสมเด็จโต ของแฉล้ม โชติช่วง และมนัส ยอแสง ซึ่งได้กล่าวถึงเหตุแห่งการสร้างพระผงพุทธคุณในรูปแบบพิมพ์พระเครื่องโบราณของพระสมเด็จโตนั้นเกิดขึ้นจากนักเรียนพระธรรมวินัยจากต่างจังหวัด ที่มาศึกษาในสำนักโฆสิตาราม( วัดระฆัง) พอเรียนจบจะกลับบ้าน อยากได้ของทางวัดเอาไปฝากญาติโยมทางบ้าน จึงได้ขออนุญาตสมเด็จโตทำพระเนื้อผงพุทธคุณเป็นพิเศษ โดยเอาพระที่มีชื่อเสียงกิตติคุณในท้องถิ่นของตนที่ติดตัวมาเพื่อปกปักคุ้มครองตัวเองระหว่างการเดินทาง เช่น พระหลวงพ่อโต พระกำแพงเม็ดขนุน พระขุนแผนห้าเหลี่ยม พระขุนแผนไข่ผ่าซีก พระซุ้มกอ พระรอด พระคง พระหูยาน พระนารายณ์ทรงปืน พระสามตรีกาย เป็นต้น โดยนำพระดังกล่าวมาเป็นแม่พิมพ์แล้วขอเนื้อผงมากดพิมพ์เอาไปฝากญาติโยมในท้องถิ่นของตนจำนวนหนึ่งไม่มากนัก
นอกจากนี้ยังมีการบอกกล่าวไว้เป็นลายลักษณ์อักษรในหนังสือของเซียนพระเนื้อผงรุ่นใหญ่ในวงการคนหนึ่ง โดยได้มีการอ้างถึงการค้นพบของพระพิพม์เนื้อผงพุทธคุณเนื้อหาเดียวกับพระกรุวัดทัพข้าวในองค์หลวงพ่อโต วัดอินทรวิหารอีกด้วย โดยพิมพ์ที่พบส่วนใหญ่เป็นพระพิมพ์สมเด็จมีทั้งแบบสามชั้น ห้าชั้น เจ็ดชั้น เก้าชั้นก็มี และยังมีพิมพ์พิเศษต่าง ๆ เช่น พิมพ์ขุนแผนห้าเหลี่ยม แบบต่าง ๆ อีกด้วย ทั้งได้มีการสันนิษฐานถึงความเก่าแก่ของพระชุดนี้ว่าน่าจะถึงยุคพระสมเด็จด้วย โดยได้ลงรายการให้เช่าหาพร้อมข้อมูลไว้ในหนังสือพระชื่อดังหลายเล่ม ทำให้พระชุดนี้มีความน่าสนใจขึ้นมากในสายตานักนิยมพระเครื่องแฟนพันธุ์แท้พระสมเด็จ
ทำให้ปัจจุบันทำให้มีการพบพระผงพุทธคุณที่เก่าแก่ล้อพระเครื่องพิมพ์โบราณมีปรากฏอยู่ในสนามพระซึ่งมีเนื้อหามวลสารและความเก่าแก่ถึงยุคแต่นักเลงพระส่วนใหญ่ยังคลุมเครือกับประวัติการสร้างและผู้ปลุกเสก ซึ่งพระชุดนี้ได้สร้างความสนใจให้กับนักนิยมพระผงพุทธคุณเป็นอย่างยิ่ง ปัจจุบันค่อนข้างหายากมากเพราะมีนักนิยมพระสมเด็จและเซียนจำนวนหนึ่งที่ล่วงรู้ที่มาเป็นอย่างดีแอบซุ่มเงียบเก็บพระชุดนี้เข้ากรุจนแทบไม่มีวางให้เช่าบูชาในสนามพระทั่วไปพร้อมกับตั้้งราคาไว้สูงลิบในระดับหลักหมื่นต้น ประกอบกับการที่พระชุดนี้มีมวลสารเก่าแก่และจัดจ้าน ทำให้นักซ่อมพระนิยมนำไปซ่อมพระสมเด็จ และนักปลอมพระบางคนก็นิยมนำพระกรุวัดทัพข้าวนี้ไปบดทำเป็นมวลสารสำคัญสำหรับทำพระสมเด็จปลอมในระดับสุดยอด มีผลทำให้ในปัจจุบันหาพระชุดนี้ในสนามพระทั่วไปยากยิ่งเต็มที
แต่การจะเช่าหาบูชาพระกรุวัดวัดทัพข้าวนี้ ต้องให้ความระมัดระวังพอสมควร เนื่องจาก พระกรุวัดทัพข้าวนับว่าได้รับความนิยมในกลุ่มนักสะสมสายตรงวัดระฆัง ทำให้นักปลอมพระฝีมือดีก็ได้ทำพระกรุวัดทัพข้าวปลอมล้อเลียนพิมพ์เดิมจำนวนมาก แต่มีข้อพิรุธให้จับได้คือมีเนื้อหาและความเก่ายังไม่ถึงยุคอย่างแท้จริง รวมทั้งยังมีการสร้างพระเกจิอาจารย์ในยุคหลัง ก็ได้มีการสร้างพระเนื้อผงพุทธคุณล้อเลียนพิมพ์พระโบราณในรูปแบบเดียวกับพระกรุวัดทัพข้าวไว้หลายพิมพ์ทรง เช่น พระพิมพ์หลวงพ่อโต ของ หลวงพ่อเผือก วัดกิ่งแก้ว เป็นต้น ดังนั้นถ้าจะต้องการเช่าหาบูชาพระกรุวัดทัพข้าวซักองค์ สมควรเลือกเฉพาะพระที่มีเนื้อหาจัดจ้านและเก่าถึงยุคจริง ๆ เท่านั้น หรือปรึกษากับผู้ชำนาญการด้านพระกรุวัดทัพข้าว ก็จะปลอดภัยจากพระมือผีและไม่ซื้อพระผิดยุคไปครอบครอง
ดังนั้นสำหรับนักนิยมพระเครื่องเนื้อผงพุทธคุณทั้งหลาย สำหรับพระกรุวัดทัพข้าวนี้นับว่าเป็นพระผงพุทธคุณตระกูลหนึ่งที่น่าสนใจเพราะนอกจากจะเป็นพระผงที่มีอายุเก่าแก่และมีเนื้อหาที่จัดจ้านเป็นอย่างมากคล้ายกับพระสมเด็จวัดระฆัง เหมาะสำหรับผู้ที่สนใจศึกษาในเนื้อหาพระสมเด็จเก็บสะสมไว้เป็นองค์ครูสำหรับการศึกษาเนื้อหามวลสารของพระสมเด็จวัดระฆังแล้ว ยังมีความเชื่อว่าสมเด็จโตฯ มีส่วนในการสร้างอีกด้วย เป็นการสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับพระชุดนี้เป็นอย่างมาก ทำให้เชื่อว่าในอนาคตข้างหน้าพระชุดนี้จะเป็นที่ยอมรับและเป็นที่นิยมตลอดจนมีมูลค่าเช่าหาบูชาสูงส่งเป็นอย่างมากในอนาคตในฐานะพระสมเด็จพิมพ์โบราณที่จัดสร้างโดยสมเด็จพุฒาจารย์โต พรหมรังสี โดยขึ้นมาทดแทนพระสมเด็จพิมพ์นิยม ที่จัดสร้างโดยหลวงวิจารฯ ที่ปัจจุบันแทบจะกลายเป็นตำนานที่หาชมกันไม่ได้อีกแล้ว นอกจากในตู้เซฟตามธนาคารของผู้มีฐานะและวาสนาเท่านั้น
*************************************************
พระกรุวัดทัพเข้าหรือพระกรุวัดทัพข้าว สุโขทัย
พระกรุวัดทัพเข้าก็เป็นพระกรุหนึ่งที่นักเล่นพระรู้จักชื่อเสียงกันดี แต่พระกรุนี้ก็นับว่ามีของเข้ามาให้เห็นในสนามน้อยมาก น้อยมากจนขนาดหลาย ๆ คนเริ่มจะลืม ๆ ไปเสียแล้ว หากเป็นนักเล่นพระรุ่นใหม่ ๆ ก็คิดว่าหลายคนไม่เคยได้ยิน หรือว่ารู้จักพระกรุวัดทัพเข้ามาก่อน
สำหรับชื่อ “วัดทัพเข้า” ก็มีการเห็นแตกต่างกันออกไป บ้างก็ว่าเป็น “วัดทัพข้าว” บ้างก็ว่าเป็น “วัดทับเข้า” และบ้างก็ว่าเป็น “วัดทับข้าว” ทั้งนี้ก็เนื่องจากวัดทัพเข้าที่เป็นที่มาของพระกรุวัดทัพเข้าหรือพระกรุวัดทัพข้าว สุโขทัย หรือที่เรียกกันหลาย ๆ แบบนั้น ปัจจุบันไม่เหลือร่องรอยของวัดให้เห็นอยู่ จะมีก็แต่เนินดินและทรากปรักหักพังของอิฐเท่านั้น แต่ก็มีอยู่วัดหนึ่งที่มีมาแต่ครั้งกรุงสมัยกรุงสุโขทัย ซึ่งมีชื่อว่า ....
วัดซ่อนข้าว
วัดซ่อนข้าว เป็นวัดใหญ่ตั้งอยู่ในเขตกำแพงเมืองสุโขทัย เข้าใจว่าคงจะเป็นวัดสำคัญวัดหนึ่งสมัยกรุงสุโขทัยเป็นราชธานี เพราะไม่งั้นก็คงจะไม่ตั้งอยู่ภายในกำแพงเมือง แต่เมื่อผ่านกาลเวลามายาวนานนับเป็นหลาย ๆ ร้อยปี วัดซ่อนข้าวก็มีการชำรุดทรุดโทรมไปตามกาลเวลา ซึ่งต่อมาทางกรมศิลปากรก็ได้ทำการบูรณะให้ดีขึ้น
และก็ด้วยเหตุนี้ จึงมีบางคนเข้าใจว่าพระกรุวัดทัพเข้า ก็คือพระกรุวัดซ่อนข้าวนี่เอง
แต่จริง ๆ แล้วก็ไม่ใช่!
เพราะว่าพระกรุวัดทัพเข้าหรือพระกรุวัดทัพข้าว สุโขทัย มีการพบคนละแห่งคนละที่กับวัดซ่อนข้าว
วัดทัพเข้าเดิมนั้นตั้งอยู่นอกกำแพงเมืองสุโขทัยทางทิศใต้ ต่อมาวัดได้มีการชำรุดทรุดโทรมไปตามกาลเวลา ประกอบกับว่ามีคนขุดทำลายเพื่อหาของมีค่า จึงทำให้ไม่เหลือสภาพของวัดคงอยู่ จะมีก็แต่เนินดิน และทรากปรักหักพังของก้อนอิฐ
ที่บริเวณนี้ เป็นที่พบพระกรุวัดทัพเข้าหรือพระกรุวัดทัพข้าว สุโขทัย
สำหรับชื่อ “วัดทัพเข้า” ก็มีการสันนิษฐานกันว่า สมัยโบราณเมื่อเวลามีข้าศึกยกทัพมาตีเมืองสุโขทัย ได้ยกทัพมาตีทางทิศใต้ของกำแพงเมือง ครั้นต่อมาเมื่อบ้านเมืองสงบก็ได้สร้างวัดขึ้นที่บริเวณนี้ เลยเรียกว่าวัดทัพเข้า ส่วนที่เรียกว่า “วัดทัพข้าว” ก็สันนิษฐานว่าบริเวณนี้แต่ก่อนเป็นที่เก็บเสบียงข้าวสำหรับกองทัพเวลาออกไปทำศึก ส่วนที่เรียกว่า “วัดทับเข้า” ก็อาจจะมาจากคำว่า “ทับ” ซึ่งเป็นคำไทยแต่โบราณที่แปลว่า “กระท่อม” หรือ “ที่อยู่อาศัยชั่วคราว” โดยอาจจะสันนิษฐานว่าเมื่อข้าศึกยกทัพมาตีเมืองสุโขทัยได้ตั้งกองทัพพักอยู่ที่บริเวณนี้ และหรือที่เรียก “วัดทับข้าว” ก็อาจจะมีการสันนิษฐานแบบเดียวกับ “วัดทัพข้าว” คือเป็นสถานที่เก็บเสบียงข้าวสำหรับการยกทัพออกศึก
วัดทัพเข้า วัดทัพข้าว วัดทับเข้า และหรือวัดทับข้าว ชื่อไหนจะถูกก็มีความเป็นไปได้พอ ๆ กัน แต่รู้สึกว่านักวิชาการและคนพื้นที่จะเชื่อไปทาง “วัดทับข้าว” มากกว่าอย่างอื่น
พระกรุวัดทัพเข้าหรือพระกรุวัดทัพข้าว สุโขทัย นับได้ว่าเป็นพระเนื้อผงที่มีอายุการสร้างเก่าแก่มากที่สุดในประเทศไทย ด้วยว่าเป็นพระเครื่องศิลปะสมัยสุโขทัย ซึ่งในบรรดาพระกรุเนื้อผงต่าง ๆ ที่มีการพบเห็น และเล่นหาในวงการอยู่นี้ ล้วนแต่เป็นพระกรุเนื้อผงที่มีการสร้างขึ้นในสมัยรัตนโกสินทร์ทั้งสิ้น การที่มีการพบพระกรุวัดทัพเข้าหรือพระกรุวัดทัพข้าว สุโขทัย อย่างน้อย ๆ ก็เป็นการหักล้างความเชื่อที่มีมาแต่ก่อนว่า พระเนื้อผงที่มีการสร้างขึ้นเป็นครั้งแรกในสมัยรัตนโกสินทร์ลงได้ ซึ่งจริง ๆ แล้วในสมัยอยุธยา ก็มีการสร้างพระเนื้อผงแล้วเช่นกัน เพียงแต่ไม่ค่อยพบเห็นกันแพร่หลายเท่านั้นเอง
พระกรุวัดทัพเข้าหรือพระกรุวัดทัพข้าว สุโขทัย ที่มีการพบเห็นและนิยมเล่นหาเป็นมาตรฐานก็มีอยู่ ๒ พิมพ์ คือ พิมพ์ยืนกับพิมพ์นั่ง แต่พิมพ์ยืนจะมีการพบเห็นกันแพร่หลายกว่า
พระกรุวัดทัพเข้าหรือพระกรุวัดทัพข้าว สุโขทัย พิมพ์ยืน สัณฐานเป็นรูปรีคล้ายแตงกวาหรือไข่ผ่าซีก ด้านหน้าเป็นรูปพระพุทธปฏิมากร ปางยืนประทานพรประทับอยู่ภายในซุ้มเรือนแก้ว โดยยกพระหัตถ์ (มือ) ข้างซ้ายทาบพระอุระ (อก) พระกร (แขน) ด้านขวาปล่อยวางทอดแนบพระวรกาย (ลำตัว) พุทธลักษณะคล้าย ๆ กับพระร่วงยืนศิลปะลพบุรี แต่พระร่วงยืนศิลปะลพบุรีจะยกพระหัตถ์ (มือ) ข้างขวา ส่วนพิมพ์นั่งจะเป็นรูปพระพุทธปฏิมากร ประทับนั่งปางมารวิชัยขัดสมาธิราบ คล้าย ๆ กับพระร่วงนั่งศิลปะสุโขทัย รายละเอียดทั่ว ๆ ไปทั้งพิมพ์นั่งและพิมพ์ยืน จะไม่ค่อยติดลึกคมชัดเท่าไหร่
เนื้อของพระกรุวัดทัพเข้าหรือพระกรุวัดทัพข้าว สุโขทัย เป็นเนื้อผงขาวละเอียดแบบปูนเปลือกหอยมีความแห้งผาก และปรากฎรอยรานเป็นบางแห่ง ทั้งนี้ก็เนื่องมาจากผ่านระยะอายุการสร้างมาเป็นร้อยปี นอกจากเนื้อสีขาวแล้วก็ยังมีการพบเนื้อสีดำอีกด้วย แต่เนื้อสีขาวจะเด่นและได้รับความนิยมมากกว่า จนทำให้พระเนื้อดำขาดความสนใจ เลยเป็นเหตุทำให้พระเนื้อสีดำค่อย ๆ หายไปจากวงการ เพราะว่าพระก็ไม่ค่อยพบเห็นอยู่แล้ว ขนาดเนื้อสีขาวก็ยังพบยาก พอมาพบเนื้อสีดำก็เลยเข้าใจว่าเป็นพระของที่อื่น พระเนื้อสีดำจึงค่อย ๆ หายไปจากวงการไปอย่างน่าเสียดาย
จากการที่วัดทัพเข้าเป็นวัดที่ตั้งอยู่ภายนอกกำแพงเมือง อันถือว่าเป็น วัดอรัญญิก (วัดป่า) สำหรับเป็นที่พำนักของพระสงฆ์ฝ่ายอรัญวาสี (พระป่า) ซึ่งเป็นพระสงฆ์ผู้ปฏิบัติเคร่งครัดในวิปัสสนากรรมฐาน จึงทำให้เชื่อได้ว่าพระสงฆ์ผู้สร้างพระกรุวัดทัพเข้าหรือพระกรุวัดทัพข้าว สุโขทัย เป็นพระสงฆ์ผู้ปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐาน และบรรลุธรรมชั้นสูง เป็นพระสงฆ์ผู้บริสุทธิ์จากกิเลสทั้งหลายทั้งปวง พุทธคุณของพระกรุวัดทัพเข้าจึงสูงส่งด้วยพลังจิตอันสะอาดและบริสุทธิ์ของพระสงฆ์ผู้ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบเหล่านั้น
ในด้านประสบการณ์ของพระกรุวัดทัพเข้าหรือพระกรุวัดทัพข้าว สุโขทัย มีผู้นำไปใช้แล้วได้ผลในหลาย ๆ ด้านด้วยกัน ตั้งแต่เมตตามหานิยม โชคลาภ แคล้วคลาดปลอดภัยจากอันตรายต่าง ๆ ป้องกันได้ทั้งเขี้ยว งา และศาสตราวุธต่าง ๆ ทั้งหลายทั้งปวง อีกทั้งยังอำนวยความเจริญก้าวหน้าได้อย่างยิ่งยวด เพราะเหตุนี้จึงทำให้คนพื้นที่ จ. สุโขทัย จึงให้ความนิยมและหวงแหนพระกรุวัดทัพเข้ากันอย่างที่สุด
อนึ่ง เนื่องจากพระกรุวัดทัพเข้าหรือพระกรุวัดทัพข้าว สุโขทัย เป็นพระเนื้อผง จึงมักมีการโมเมเอาพระเนื้อผงของที่อื่นมาเล่นเป็นกรุวัดทัพเข้ากันมาก จึงต้องระมัดระวังกันให้ดี แต่ถ้าพูดถึงพิมพ์ของพระกรุวัดทัพเข้าก็น่าจะมีมากกว่า ๒ พิมพ์ที่กล่าวถึงนี้ เพราะว่ามีการพบพระเนื้อผงขาวพิมพ์แบบเดียวกันที่กรุวัดทัพเข้า จากที่อื่น ๆ ซึ่งเป็นวัดร้างและวัดเก่าแก่ในเขต จ. สุโขทัยเหมือนกันบ้างประปราย ซึ่งเข้าใจว่าเมื่อมีการสร้างพระเนื้อผงขาวที่วัดทัพเข้าเมื่อครั้งกระโน้น คงจะมีการสร้างมากพอสมควร เพราะการสร้างพระเครื่องเพื่อสืบทอดพระศาสนาสมัยก่อนถือเป็นงานใหญ่งานสำคัญ เมื่อสร้างเสร็จแล้วจึงได้มีการแบ่งพระเครื่องไปบรรจุกรุตามสถานที่ต่าง ๆ เอาไว้ด้วยเพียงแต่บริเวณที่เคยเป็นวัดทัพเข้าเดิมมีการพบพระเนื้อผงขาวมากกว่าที่อื่น ๆ เท่านั้นเอง
พระกรุวัดทัพเข้าก็เป็นพระกรุหนึ่งที่นักเล่นพระรู้จักชื่อเสียงกันดี แต่พระกรุนี้ก็นับว่ามีของเข้ามาให้เห็นในสนามน้อยมาก น้อยมากจนขนาดหลาย ๆ คนเริ่มจะลืม ๆ ไปเสียแล้ว หากเป็นนักเล่นพระรุ่นใหม่ ๆ ก็คิดว่าหลายคนไม่เคยได้ยิน หรือว่ารู้จักพระกรุวัดทัพเข้ามาก่อน
สำหรับชื่อ “วัดทัพเข้า” ก็มีการเห็นแตกต่างกันออกไป บ้างก็ว่าเป็น “วัดทัพข้าว” บ้างก็ว่าเป็น “วัดทับเข้า” และบ้างก็ว่าเป็น “วัดทับข้าว” ทั้งนี้ก็เนื่องจากวัดทัพเข้าที่เป็นที่มาของพระกรุวัดทัพเข้าหรือพระกรุวัดทัพข้าว สุโขทัย หรือที่เรียกกันหลาย ๆ แบบนั้น ปัจจุบันไม่เหลือร่องรอยของวัดให้เห็นอยู่ จะมีก็แต่เนินดินและทรากปรักหักพังของอิฐเท่านั้น แต่ก็มีอยู่วัดหนึ่งที่มีมาแต่ครั้งกรุงสมัยกรุงสุโขทัย ซึ่งมีชื่อว่า ....
วัดซ่อนข้าว
วัดซ่อนข้าว เป็นวัดใหญ่ตั้งอยู่ในเขตกำแพงเมืองสุโขทัย เข้าใจว่าคงจะเป็นวัดสำคัญวัดหนึ่งสมัยกรุงสุโขทัยเป็นราชธานี เพราะไม่งั้นก็คงจะไม่ตั้งอยู่ภายในกำแพงเมือง แต่เมื่อผ่านกาลเวลามายาวนานนับเป็นหลาย ๆ ร้อยปี วัดซ่อนข้าวก็มีการชำรุดทรุดโทรมไปตามกาลเวลา ซึ่งต่อมาทางกรมศิลปากรก็ได้ทำการบูรณะให้ดีขึ้น
และก็ด้วยเหตุนี้ จึงมีบางคนเข้าใจว่าพระกรุวัดทัพเข้า ก็คือพระกรุวัดซ่อนข้าวนี่เอง
แต่จริง ๆ แล้วก็ไม่ใช่!
เพราะว่าพระกรุวัดทัพเข้าหรือพระกรุวัดทัพข้าว สุโขทัย มีการพบคนละแห่งคนละที่กับวัดซ่อนข้าว
วัดทัพเข้าเดิมนั้นตั้งอยู่นอกกำแพงเมืองสุโขทัยทางทิศใต้ ต่อมาวัดได้มีการชำรุดทรุดโทรมไปตามกาลเวลา ประกอบกับว่ามีคนขุดทำลายเพื่อหาของมีค่า จึงทำให้ไม่เหลือสภาพของวัดคงอยู่ จะมีก็แต่เนินดิน และทรากปรักหักพังของก้อนอิฐ
ที่บริเวณนี้ เป็นที่พบพระกรุวัดทัพเข้าหรือพระกรุวัดทัพข้าว สุโขทัย
สำหรับชื่อ “วัดทัพเข้า” ก็มีการสันนิษฐานกันว่า สมัยโบราณเมื่อเวลามีข้าศึกยกทัพมาตีเมืองสุโขทัย ได้ยกทัพมาตีทางทิศใต้ของกำแพงเมือง ครั้นต่อมาเมื่อบ้านเมืองสงบก็ได้สร้างวัดขึ้นที่บริเวณนี้ เลยเรียกว่าวัดทัพเข้า ส่วนที่เรียกว่า “วัดทัพข้าว” ก็สันนิษฐานว่าบริเวณนี้แต่ก่อนเป็นที่เก็บเสบียงข้าวสำหรับกองทัพเวลาออกไปทำศึก ส่วนที่เรียกว่า “วัดทับเข้า” ก็อาจจะมาจากคำว่า “ทับ” ซึ่งเป็นคำไทยแต่โบราณที่แปลว่า “กระท่อม” หรือ “ที่อยู่อาศัยชั่วคราว” โดยอาจจะสันนิษฐานว่าเมื่อข้าศึกยกทัพมาตีเมืองสุโขทัยได้ตั้งกองทัพพักอยู่ที่บริเวณนี้ และหรือที่เรียก “วัดทับข้าว” ก็อาจจะมีการสันนิษฐานแบบเดียวกับ “วัดทัพข้าว” คือเป็นสถานที่เก็บเสบียงข้าวสำหรับการยกทัพออกศึก
วัดทัพเข้า วัดทัพข้าว วัดทับเข้า และหรือวัดทับข้าว ชื่อไหนจะถูกก็มีความเป็นไปได้พอ ๆ กัน แต่รู้สึกว่านักวิชาการและคนพื้นที่จะเชื่อไปทาง “วัดทับข้าว” มากกว่าอย่างอื่น
พระกรุวัดทัพเข้าหรือพระกรุวัดทัพข้าว สุโขทัย นับได้ว่าเป็นพระเนื้อผงที่มีอายุการสร้างเก่าแก่มากที่สุดในประเทศไทย ด้วยว่าเป็นพระเครื่องศิลปะสมัยสุโขทัย ซึ่งในบรรดาพระกรุเนื้อผงต่าง ๆ ที่มีการพบเห็น และเล่นหาในวงการอยู่นี้ ล้วนแต่เป็นพระกรุเนื้อผงที่มีการสร้างขึ้นในสมัยรัตนโกสินทร์ทั้งสิ้น การที่มีการพบพระกรุวัดทัพเข้าหรือพระกรุวัดทัพข้าว สุโขทัย อย่างน้อย ๆ ก็เป็นการหักล้างความเชื่อที่มีมาแต่ก่อนว่า พระเนื้อผงที่มีการสร้างขึ้นเป็นครั้งแรกในสมัยรัตนโกสินทร์ลงได้ ซึ่งจริง ๆ แล้วในสมัยอยุธยา ก็มีการสร้างพระเนื้อผงแล้วเช่นกัน เพียงแต่ไม่ค่อยพบเห็นกันแพร่หลายเท่านั้นเอง
พระกรุวัดทัพเข้าหรือพระกรุวัดทัพข้าว สุโขทัย ที่มีการพบเห็นและนิยมเล่นหาเป็นมาตรฐานก็มีอยู่ ๒ พิมพ์ คือ พิมพ์ยืนกับพิมพ์นั่ง แต่พิมพ์ยืนจะมีการพบเห็นกันแพร่หลายกว่า
พระกรุวัดทัพเข้าหรือพระกรุวัดทัพข้าว สุโขทัย พิมพ์ยืน สัณฐานเป็นรูปรีคล้ายแตงกวาหรือไข่ผ่าซีก ด้านหน้าเป็นรูปพระพุทธปฏิมากร ปางยืนประทานพรประทับอยู่ภายในซุ้มเรือนแก้ว โดยยกพระหัตถ์ (มือ) ข้างซ้ายทาบพระอุระ (อก) พระกร (แขน) ด้านขวาปล่อยวางทอดแนบพระวรกาย (ลำตัว) พุทธลักษณะคล้าย ๆ กับพระร่วงยืนศิลปะลพบุรี แต่พระร่วงยืนศิลปะลพบุรีจะยกพระหัตถ์ (มือ) ข้างขวา ส่วนพิมพ์นั่งจะเป็นรูปพระพุทธปฏิมากร ประทับนั่งปางมารวิชัยขัดสมาธิราบ คล้าย ๆ กับพระร่วงนั่งศิลปะสุโขทัย รายละเอียดทั่ว ๆ ไปทั้งพิมพ์นั่งและพิมพ์ยืน จะไม่ค่อยติดลึกคมชัดเท่าไหร่
เนื้อของพระกรุวัดทัพเข้าหรือพระกรุวัดทัพข้าว สุโขทัย เป็นเนื้อผงขาวละเอียดแบบปูนเปลือกหอยมีความแห้งผาก และปรากฎรอยรานเป็นบางแห่ง ทั้งนี้ก็เนื่องมาจากผ่านระยะอายุการสร้างมาเป็นร้อยปี นอกจากเนื้อสีขาวแล้วก็ยังมีการพบเนื้อสีดำอีกด้วย แต่เนื้อสีขาวจะเด่นและได้รับความนิยมมากกว่า จนทำให้พระเนื้อดำขาดความสนใจ เลยเป็นเหตุทำให้พระเนื้อสีดำค่อย ๆ หายไปจากวงการ เพราะว่าพระก็ไม่ค่อยพบเห็นอยู่แล้ว ขนาดเนื้อสีขาวก็ยังพบยาก พอมาพบเนื้อสีดำก็เลยเข้าใจว่าเป็นพระของที่อื่น พระเนื้อสีดำจึงค่อย ๆ หายไปจากวงการไปอย่างน่าเสียดาย
จากการที่วัดทัพเข้าเป็นวัดที่ตั้งอยู่ภายนอกกำแพงเมือง อันถือว่าเป็น วัดอรัญญิก (วัดป่า) สำหรับเป็นที่พำนักของพระสงฆ์ฝ่ายอรัญวาสี (พระป่า) ซึ่งเป็นพระสงฆ์ผู้ปฏิบัติเคร่งครัดในวิปัสสนากรรมฐาน จึงทำให้เชื่อได้ว่าพระสงฆ์ผู้สร้างพระกรุวัดทัพเข้าหรือพระกรุวัดทัพข้าว สุโขทัย เป็นพระสงฆ์ผู้ปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐาน และบรรลุธรรมชั้นสูง เป็นพระสงฆ์ผู้บริสุทธิ์จากกิเลสทั้งหลายทั้งปวง พุทธคุณของพระกรุวัดทัพเข้าจึงสูงส่งด้วยพลังจิตอันสะอาดและบริสุทธิ์ของพระสงฆ์ผู้ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบเหล่านั้น
ในด้านประสบการณ์ของพระกรุวัดทัพเข้าหรือพระกรุวัดทัพข้าว สุโขทัย มีผู้นำไปใช้แล้วได้ผลในหลาย ๆ ด้านด้วยกัน ตั้งแต่เมตตามหานิยม โชคลาภ แคล้วคลาดปลอดภัยจากอันตรายต่าง ๆ ป้องกันได้ทั้งเขี้ยว งา และศาสตราวุธต่าง ๆ ทั้งหลายทั้งปวง อีกทั้งยังอำนวยความเจริญก้าวหน้าได้อย่างยิ่งยวด เพราะเหตุนี้จึงทำให้คนพื้นที่ จ. สุโขทัย จึงให้ความนิยมและหวงแหนพระกรุวัดทัพเข้ากันอย่างที่สุด
อนึ่ง เนื่องจากพระกรุวัดทัพเข้าหรือพระกรุวัดทัพข้าว สุโขทัย เป็นพระเนื้อผง จึงมักมีการโมเมเอาพระเนื้อผงของที่อื่นมาเล่นเป็นกรุวัดทัพเข้ากันมาก จึงต้องระมัดระวังกันให้ดี แต่ถ้าพูดถึงพิมพ์ของพระกรุวัดทัพเข้าก็น่าจะมีมากกว่า ๒ พิมพ์ที่กล่าวถึงนี้ เพราะว่ามีการพบพระเนื้อผงขาวพิมพ์แบบเดียวกันที่กรุวัดทัพเข้า จากที่อื่น ๆ ซึ่งเป็นวัดร้างและวัดเก่าแก่ในเขต จ. สุโขทัยเหมือนกันบ้างประปราย ซึ่งเข้าใจว่าเมื่อมีการสร้างพระเนื้อผงขาวที่วัดทัพเข้าเมื่อครั้งกระโน้น คงจะมีการสร้างมากพอสมควร เพราะการสร้างพระเครื่องเพื่อสืบทอดพระศาสนาสมัยก่อนถือเป็นงานใหญ่งานสำคัญ เมื่อสร้างเสร็จแล้วจึงได้มีการแบ่งพระเครื่องไปบรรจุกรุตามสถานที่ต่าง ๆ เอาไว้ด้วยเพียงแต่บริเวณที่เคยเป็นวัดทัพเข้าเดิมมีการพบพระเนื้อผงขาวมากกว่าที่อื่น ๆ เท่านั้นเอง