พระพิษณุโลก | Prapsl.com

พระพิษณุโลก | Prapsl.com

ลำดับ 341 เหรียญหล่อพระสุนทรีวาณี วัดสุทัศน์ กทม

  
                           เหรียญพระสุนทรี วัดสุทัศน์เทพวราราม  วรมหาวิหาร รุ่นแรก  กทม

                  ประวัติพระสุนทรีวาณี พร้อมคาถาบูชา 
            โดย พระราชวิจิตรปฏิภาณผู้ช่วยเจ้าอาวาสวัดสุทัศนเทพวราราม เจ้าคณะ ๓ วัดสุทัศนเทพวราราม ราชวรมหาวิหาร
    ณ บัดนี้ จักแสดงเรื่องพระคาถาสุนทรีวาณีเป็น ๒ ภาค คือ ๑. ภาควิชาการ ๒. ภาคตำนานอันเป็นการสืบค้นและเป็นเรื่องเล่าที่ได้สดับมาเพื่อก่อให้เกิดประโยชน์ต่อท่านผู้ใคร่ศึกษาเรียนรู้ ทั้งยังจะเป็นความขลัง ความศักดิ์สิทธิ์แก่ผู้เจริญพระคาถาและบูชาพระสุนทรีวาณี
             ภาควิชาการ
            พระสุนทรีวาณี แต่เดิมนั้นเป็นภาพพระสุนทรีวาณี (นางฟ้า) สถิตอยู่บนดอกบัว สมเด็จพระวันรัต (แดง) วัดสุทัศนเทพวราราม ทรงคิดแบบขึ้นจากพระสูตรสัททาวิเสส แล้วทรงให้ท่านหมื่นศิริธัชสังกาศ เจ้ากรม (แดง) จัดการเขียนขึ้นเอาไว้ในพระตำหนักของสมเด็จฯ ปรากฏว่าเป็นที่สนพระทัยของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว พระองค์จึงได้ทรงมีพระราชวิจารณ์เรื่องภาพสุนทรีวาณีนี้ พระราชทานสมเด็จพระบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้ากรมพระยานริศรานุวัตติวงศ์ ครั้นกาลต่อมาภายหลังพระองค์ได้ทรงเสด็จสวรรคตแล้ว พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว ได้โปรดเกล้าฯ พิมพ์พระราชวิจารณ์พระสุนทรีวาณีนี้ พระราชทานในงานพระราชทานกุศลคล้ายวันสวรรคตของพระบาทสมเด็จพระพุทธเจ้าหลวง ในวันที่ ๒๓ ตุลาคม ๒๔๗๑ พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงมีพระราชวิจารณ์ภาพสุนทรีวาณี พระราชทานแด่สมเด็จพระบรมวงศ์เธอเจ้าฟ้ากรมพระยานริศรานุวัตติวงศ์ ที่ได้ทูลถามสาเหตุให้ทรงพระราชวิจารณ์เกี่ยวกับเรื่องลัทธิมหายาน กับหินยาน เป็นรูปดอกบัวขึ้นจากน้ำ ดอกกลางเป็นดอกบัวบาน มีรูปนางฟ้านั่งขัดสมาธิอยู่บนนั้น หัตถ์ซ้ายพาดตักอย่างพระมารวิชัย ในอุ้งหัตถ์มีดวงแก้ว หัตถ์ขวาทำอาการกวักดุจพระคันธารราษฎร์ ดอกริมเป็นดอกบัวโรย เบื้องขวามีรูปบุรุษ เบื้องซ้ายมีรูปสตรีนั่งพับเพียบประนมมืออยู่บนนั้น เบื้องบนมีรูปเทวดาถือเครื่องสักการะดั้นเมฆสองแถวซ้อนกัน เบื้องล่างมีรูปนาคกับสัตว์ต่างๆ ตีความไม่ออกว่าเป็นรูปอะไร แต่มีท่วงทีคล้ายพระทางลัทธิมหายาน ซึ่งทำเป็นดอกบัวขึ้นจากน้ำ มีพระพุทธรูปนั่งบนนั้น องค์เดียวบ้าง สามองค์บ้าง ห้าองค์บ้าง จึงมีพระราชทานไปสอบถามกรมพระสมมตอมรพันธุ์ แล้วพระราชทาน พระราชหัตถเลขาถึงสมเด็จพระบรมวงศ์เธอเจ้าฟ้ากรมพระยานริศรานุวัตติวงศ์
สมเด็จพระบรมวงศ์เธอเจ้าฟ้ากรมพระยานริศรานุวัตติวงศ์ ไม่ทราบลัทธิทางมหายาน มีใจใคร่จะทราบจึงเขียนหนังสือกราบทูลถามเท้าถึงความคาดคะเนตามที่สังเกตเห็นมาบ้าง จึงทรงมีพระราชวิจารณ์พระราชทาน ส่วนทางที่พระสมมตอมรพันธุ์ไปสืบนั้น ได้ความว่า เป็นแบบที่สมเด็จพระวันรัต (แดง) คิดออกมาจากคาถาบทหนึ่ง ซึ่งมาในหนังสือ สัททาวิเสส ให้เขียนกรอบไว้ ท่านเรียกว่า รูปสุนทรีวาณี กรมพระสมมตอมรพันธุ์ ได้นำรูปแผ่นต้นนั้นมาถวายทอดพระเนตร รูปนั้นเป็นที่ต้องพระราชหฤทัย ในพระบาทสมเด็จพระพุทธเจ้าหลวงเป็นอันมากจนถึงพระราชดำริจะทำประกอบกับแผ่นศิลาจารึกประดิษฐานไว้ที่วัดเบญจมบพิตร ดูประหนึ่งทรงพระราชดำริให้เป็นที่ระลึกถึงสมเด็จพระวันรัต ด้วย
สมเด็จพระวันรัต (แดง) ได้อธิบายว่า รูปสุนทรีวาณีนั้น หมายถึง พระโอษฐ์ของพระพุทธเจ้า ตามที่มาในพระคาถานี้ เป็นหลัก
มุนินทะ วะทะนัมพุชะ คัพภะสัมภะวะ สุนทะรี
ปาณีนัง สะระณัง วาณี มัยหัง ปิณะยะตัง มะนัง ฯ
         วาณี หมายถึงนางฟ้า คือพระไตรปิฎก
มุนินทะ วะทะนัมพุชะ คัพภะสัมภะวะ สุนทะรี
มีรูปอันงดงาม เกิดแต่ท้องแห่งดอกบัว คือพระโอษฐ์แห่งพระพุทธเจ้า ผู้เป็นจอมปราชญ์ทั้งหลาย
ปาณีนัง สะระณัง เป็นที่พึ่งแห่งสัตว์ผู้มีความปรารถนาทั้งหลาย
มัยหัง ปิณะยะตัง มะนัง จงยังใจแห่งข้าพเจ้าทั้งหลายให้ยินดี
สมเด็จพระวันรัต (แดง) กล่าวว่า อาจารย์ของท่านทางคันถธุระ และวิปัสสนาธุระ สอนให้บริกรรมคาถานี้ ก่อนจะเริ่มเรียนพระปริยัติ และเข้าที่ภาวนาทุกคราวไป ท่านผู้ใหญ่ทั้งหลายมีสมเด็จพระสังฆราช (วัดราชสิทธาราม) เป็นต้น ล้วนนับถือคาถานี้อยู่ทั่วกัน จนกระทั่งอาราธนากัมมัฏฐานก็ใช้คาถานี้ ท่านจึงคิดเอาคาถานี้อยู่ทั่วไป จนถึงอาราธนาก็ใช้คาถานี้ ท่านจึงคิดเอามาผูกเป็นรูปปรุงเปรียบเข้าอีกหลายอย่าง หัตถ์ขวาแห่งสุนทรีวาณี ซึ่งทำเพียงดังอาการกวักนั้นเพื่อจะให้ได้กับคำว่า เอหิปัสสิโก โอปะนะยิโก ซึ่งถือเอาความหมายว่า เรียกให้มาดูดวงแก้วในหัตถ์ซ้าย เปรียบเป็นอมตะ รูปบุรุษเบื้องขวานั้น เปรียบเป็นภิกษุสงฆ์สาวก รูปสตรีเบื้องซ้ายนั้นเป็นพระภิกษุณีสงฆ์สาวิกา เทวดาแถวล่างนั้นหมายถึงเทวโลก พรหมแถวบน หมายถึงพรหมโลก ต่างมาทำสักการบูชา น่านน้ำภายใต้นั้นเปรียบด้วยสังสารวัฏ นาค และสัตว์น้ำ เปรียบเป็นพุทธบริษัท ท่านหมื่นศิริธัชสังกาศเจ้ากรม (แดง) มาเขียนแล้วเข้ากรอบลับแลตั้งไว้บูชา ภายหลังได้ทำเป็นรูปหล่อขึ้นด้วย
ในสมัยต่อมาสมเด็จพระสังฆราช (แพ) วัดสุทัศนเทพวราราม หล่อพระกริ่ง ท่านเจ้าคุณมงคลราชมุนี ผู้เป็นศิษย์ ก็ได้สร้างพระสุนทรีวาณีขึ้นด้วยโลหะชนวนที่เหลือจากการหล่อพระกริ่งของสมเด็จพระสังฆราช (แพ) เป็นรูปลอยนูนออกมางดงามมากทำเป็นแบบเหรียญ มีรูปทั้งหมดทรงกลีบบัว ด้านหลังมีอักษร ม.ค. ๑ อีกทั้งให้บรรดาเยาวชน และนิสิตนักศึกษาทั้งหลาย ผู้เริ่มแรกจะเข้าศึกษา ให้ภาวนาคาถาดังกล่าวนี้ก่อน จะเป็นผู้เจริญด้วยการศึกษาเป็นอย่างดี อนึ่ง พระสุนทรีวาณี เป็นพระที่ทรงไว้ด้วยความเมตตาอย่างสูง เป็นพระที่เป็นสิริมงคลมหาลาภต่างๆ จึงเหมาะแก่ห้างร้าน บริษัท และร้านค้าทั่วไปจะมีไว้บูชาเพื่อเจริญด้วยลาภ ยศ ความสุข สรรเสริญ ตลอดจนการเจริญก้าวหน้าในอาชีพการงานของตน
               ภาคตำนานเล่าขาน
               อันที่จริงที่กล่าวว่าสมเด็จพระวันรัต (แดง สีลวฑฺฒโน) อดีตเจ้าอาวาสองค์ที่ ๓ วัดสุทัศนเทพวราราม (พ.ศ.๒๔๒๐- ๒๔๔๓) ท่านถอดคาถานี้เป็นองค์เทพนารีนั้น ยังคลาดเคลื่อนจากความเป็นจริง แต่ในความเป็นจริงแล้วท่านเจริญพระคาถานี้ดังกล่าวข้างต้นจนกระทั่งวันหนึ่งท่านนิมิตในฝัน ครั้นตื่นจำวัดแล้วจึงเชิญจิตรกรหลวงมาเขียนภาพนี้ ดังความหมายข้างต้นในภาควิชาการและชะรอยว่าจิตรกรผู้จำลองเขียนความฝันของท่านจะเป็นจิตกรซึ่งมีเชื้อสายจีนที่เขียนภาพจิตรกรรมปลายสมัยรัชกาลที่ ๔ พระรูปแห่งพระสุนทรีวาณีจึงออกมาในลักษณะแบบกึ่งจีน-กึ่งไทย สังเกตได้จากเครื่องสักการะที่เทวาและพระพรหมบูชาโดยถือโคมจีนอันสื่อว่าเป็นเครื่องบูชาชั้นสูงของจีน
            ในบันทึกหอสมุดแห่งชาติ ข้าพเจ้าได้รับมาจากการถ่ายไมโครฟิล์ม เล่าเอาไว้ว่า คราวครั้งหนึ่ง พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๕ จะเสด็จไปเจริญสัมพันธไมตรียังต่างประเทศ (ข้าพเจ้าจำไม่ได้ว่าประเทศใด เพราะเอกสารกร่อนสลายไปแล้ว จึงควรที่จะสืบสวนค้นคว้ากันมาประดับความรู้) ด้วยความที่พระองค์มีพระราชศรัทธาในสมเด็จพระวันรัต (แดง) อย่างยิ่งทั้งโดยศีลาจารวัตร ความเชี่ยวชาญในด้านศาสนา ความสามารถในการบริหารการศึกษา และความเชี่ยวชาญเรื่องการบูรณะพระอาราม จนถึงวางพระราชหฤทัยให้ดูแลงานช่างในการที่ทรงสร้างวัดเบญจมบพิตรดุสิตวนาราม จึงเสด็จไปกราบสมเด็จพระวันรัต (แดง) แล้วออกพระโอษฐ์ ว่า...โยมจะไปเจริญสัมพันธไมตรีต่างประเทศ มิเช่นนั้นชาวต่างชาติจะล่าอาณานิคม โยมมีความกังวลใจ ๒ เรื่อง คือ การฝ่าอันตรายในการเดินทาง และเกรงว่าการเจริญสัมพันธไมตรีจักไม่สำเร็จ พระคุณท่านมีอะไรให้โยมติดตัวไปบ้าง” (ขอวิจารณ์เพิ่มเล็กน้อยว่า พระบาทสมเด็จพระพุทธเจ้าหลวง คงได้ศึกษาเรื่องเจ้าพระยาโกษาธิบดี (ปาน) สมัยพระนครศรีอยุธยาเป็นราชธานี ที่ใช้อาคมแสดงฤทธิ์จนฝรั่งเศสใช้อาวุธยิงแทงแล้วไม่เป็นอันตราย ฝรั่งเศสจึงยอมเจริญสัมพันธไมตรีด้วย เรื่องนี้ควรศึกษาบันทึกพงศาวดารเอง ข้าพเจ้าเป็นเพียงจำได้คร่าวๆ)

                เมื่อพระพุทธเจ้าหลวงตรัสอย่างนี้แล้ว สมเด็จพระวันรัต (แดง) เข้ากุฏิแล้วเขียนพระคาถาสุนทรีวาณีถวาย ทั้งได้ถวายพระพรว่าถ้ามหาบพิตรเกิดความกังวลพระทัยในสองประการ ขอจงจำเริญบริกรรมคาถาด้วยศรัทธา สติ สมาธิ ก็จะเกิดองค์ฌาน สมาบัติ พระราชกิจจะสำเร็จดังพระราชหฤทัย
เมื่อพระพุทธเจ้าหลวงเสด็จกลับสยามประเทศ ได้เสด็จไปนมัสการสมเด็จพระวันรัต (แดง) แล้วตรัสเล่าว่าพระคาถาสุนทรีวาณีนี้ศักดิ์สิทธิ์ โยมบริกรรม เวลาเหยียบเรือรบฝรั่งขนาดใหญ่ ก็บริกรรม พอเท้าแตะเรือรบ เกิดสะเทือนยาบยวบทั้งลำเรือ พวกฝรั่งตกใจมาก ต่อมาฝรั่งเอาม้าเทศมาให้ขี่ รู้ทีเดียวว่าม้ากับคนไม่คุ้นกันก็จะพยศและสะบัด ฝรั่งจะทำให้อับอายขายหน้า โยมจึงขอหญ้าหนึ่งกำมือ บริกรรมคาถาแล้วให้ม้ากิน ม้ามันเชื่อง บังคับง่าย เป็นที่อัศจรรย์ใจของฝรั่ง (ม้าตัวนั้นก็คือม้าตัวที่ทรงที่บรมราชานุสาวรีย์ หน้าพระที่นั่งอนันตสมาคมนี้เอง จึงเป็นม้าที่ยืนด้วยความเชื่อง มิใช่เลียนอนุสาวรีย์แบบฝรั่งสร้างทั่วไป) เมื่อพระพุทธเจ้าหลวงตรัสแล้ว จึงถามประวัติพระคาถา สมเด็จพระวันรัต (แดง) ถวายพระพรเล่าที่มาแล้ว จึงอัญเชิญเสด็จเข้าในกุฏิให้ทอดพระเนตรภาพจิตรกรรมพระสุนทรีวาณี พระพุทธเจ้าหลวงทรงเลื่อมใสยิ่ง จึงออกพระโอษฐ์ยืมไปบูชาเป็นเวลา ๕ ปี กาลต่อมาเมื่อสมเด็จพระวันรัต (แดง) อาพาธใกล้มรณภาพ พระพุทธเจ้าหลวงเสด็จฯ ไปทรงเยี่ยมอาการที่วัดโพธินิมิตสถิตมหาสีมาราม สมเด็จพระวันรัต (แดง) ได้ถวายพระพรขอคืนภาพพระสุนทรีวาณีแก่วัด ซึ่งก็ได้โปรดฯให้อัญเชิญคืนวัด
                 พระพุทธเจ้าหลวงทรงมีพระราชศรัทธาในความศักดิ์สิทธิ์ของพระสุนทรีวาณี เมื่อทรงโปรดให้สร้างโรงเรียนวัดเบญจมบพิตร จึงให้ออกแบบพระสุนทรีวาณี เพื่อเป็นสิริมงคลและเพื่อให้ครูอาจารย์นักเรียนได้บริกรรมคาถานี้ ซึ่งสามารถสืบค้นได้จากประวัติวัดเบญจมฯ และประวัติโรงเรียน แต่ปัจจุบันนี้ไม่ทราบว่าท่านผู้บริหารจะให้ความสำคัญหรือไม่อย่างไร โดยเฉพาะอย่างยิ่งแบบนั้นถอดจากจิตรกรรมมาเป็นประติมากรรม ซึ่งข้าพเจ้าเสียดายยิ่งนักที่ไม่มีผู้ใดถอดสร้างรูปเหมือนและเหรียญเพื่อแจกครูอาจารย์ และนักเรียนให้บริกรรม กราบไหว้และห้อยคอ ข้าพเจ้ามาพบความอัศจรรย์แห่งพระคาถานี้ตอนเมื่ออายุ ๒๗-๒๘ ปี ซึ่งมีความอัศจรรย์มากมายและตั้งใจว่าจะเล่าบันทึกเก็บไว้เป็นตำนาน แต่จะขอบอกเล่าเพิ่มเติมจากประวัติข้างต้นว่า เฉพาะพระสงฆ์ที่บริกรรมพระคาถานี้ในยุครัตนโกสินทร์ คือสมเด็จพระสังฆราช (สุก) เสกข้าวให้ไก่ป่ากินไก่ป่ายังเชื่อง สมเด็จพระวันรัต (แดง) สมเด็จพระสังฆราช (แพ) สมเด็จพระสังฆราช (อยู่) วัดสระเกศฯ พระวิสุทธาธิบดี (ไสว) วัดไตรมิตรวิทยาราม พระอุบาลีคุณูปมาจารย์ วัดไร่ขิง ท่านเขียนจิตรกรรมไว้ที่วัดไร่ขิงด้วย พระเทพสุวรรณโมลี (สอิ้ง) เจ้าคณะจังหวัดสุพรรณบุรี รูปปัจจุบัน ข้าพเจ้าเคยเดินทางไปที่จังหวัดสงขลา ไปพบวัดหนึ่งอดีตเจ้าอาวาสชื่อหลวงพ่อทอง (ตอนนั้นท่านมรณภาพแล้ว) ท่านเขียนปั้นพระสุนทรีวาณีไว้ที่หน้าบันอุโบสถ ข้าพเจ้าจึงไม่สงสัยว่าทำไมท่านจึงขลัง
หลวงพ่อแก้ว วัดเครือวัลย์ ชลบุรี ท่านเล่าเป็นบันทึกของวัดว่า ท่านบริกรรมคาถาพระสุนทรีวาณี เสกพระปิดตาของท่าน อีกทั้งหลวงปู่เอี่ยม วัดหนัง ท่านก็เสกพระปิดตาและวัตถุมงคลของท่านด้วยพระคาถาสุนทรีวาณี
พระคณาจารย์สายวัดสุทัศน์ฯ เมื่อจะเข้าสู่การบริกรรมเสกวัตถุมงคลและลงอักขระ เลขยันต์ ก็บริกรรมคาถาพระสุนทรีวาณี ทุกรูปไป
                   เรื่องการสร้างพระสุนทรีวาณีในรูปแบบต่างๆ เช่น พระบูชาครอบน้ำพระพุทธมนต์ (ขันน้ำมนต์) ก็มักจะหล่อพระสุนทรีวาณีประดิษฐานยอดครบน้ำมนต์ จวบจนถึงท่านเจ้าคุณพระพิพัฒน์สังวรคุณ (เจ้าคุณถนอม) ซึ่งเป็นศิษย์สืบสายตรงจากเจ้าคุณพระศรีสัจจญาณเถระ (เจ้าคุณประหยัด) เจ้าคุณประหยัดเป็นศิษย์สายตรงสมเด็จพระสังฆราช (แพ) รุ่นน้องของเจ้าคุณพระมงคลราชมุนี (เจ้าคุณศรีฯ สนธิ์) ที่หน้าบันพระวิหารวัดราชบูรณะ (วัดเลียบ) สะพานพุทธก็มีรูปปั้นพระสุนทรีวาณี ข้าพเจ้าเมื่อได้รับพระคาถานี้บริกรรมจึงพบความอัศจรรย์ว่าผู้ใดปัญญาดี จะสามารถเรียนวิชาทุกประการ และจำได้แม่นยำ ผู้ใดปัญญาไม่ดีนัก บริกรรมแล้วจะเป็นวาสนามหานิยมข้าพเจ้าซึ่งนำมาเป็นต้นบทพระกัมมัฏฐานให้ญาติโยมวัดสุทัศน์ และนักเรียนโรงเรียนเบญจมราชาลัยได้บริกรรมก่อนเข้ากัมมัฏฐาน
                   เรื่องการพิมพ์ภาพพระสุนทรีวาณี เพื่อแจกในบทต้นนั้นเนื่องจากคงเกรงไปว่ารูปพระสุนทรีวาณีตามแบบเดิม มีภูษาพัสตราภรณ์น้อยไป พิมพ์ครั้งที่ ๒ จึงเพิ่มภูษาพัสตราภรณ์ลงไป แต่พระพักตร์ออกจะดูดุๆ อยู่บ้าง
ข้าพเจ้าได้มอบหมายให้พระครูธรรมธร (สุภาพ) ซึ่งทำหน้าที่เป็นพระเลขานุการดำเนินการพิจารณาแบบ ปั้นหล่อขนาดเกือบเท่าตัวคนและขอให้มีรูปพัสตราภรณ์ เพื่อจะได้ประดับเพชรพลอย ยุคแรกสร้าง ๙ องค์ ยุคที่ ๒ อีก ๙ องค์ อัญเชิญไว้วัดสุทัศน์ฯ ๒ องค์ วัดบ้านเกิดข้าพเจ้า ที่อำเภอเสนา จังหวัดพระนครศรีอยุธยา องค์ วัดพรหมสุวรรณฯ อำเภอตาพระยา ๑ องค์ และทางภาคใต้ รวมทั้งถวายวัดไร่ขิง ๑ องค์ ส่วน ๙ องค์ ที่สร้างใหม่นี้ได้ขอให้ประชาชนเขียนแผ่นชะตาลงในยันต์มหาพิชัยสงคราม แล้วนำแผ่นยันต์มาหล่อ เพื่อประมวลกระแสจิตของคนเป็นหมื่นเป็นแสน กับทั้งลงยันต์ตามตำรับพระกริ่งวัดสุทัศน์ อย่างสมบูรณ์ ข้าพเจ้าได้จำลองภาพพระสุนทรีวาณีไว้ที่วัดคลองเตยใน กรุงเทพฯ จำลองฉากลับแลไว้ศาลาลอยวัดสุทัศน์ สร้างพระผง พระเหรียญนับเป็นสิบรุ่น เป็นพระของขวัญปีใหม่สลับกับพระศรีศากยมุนี เซเว่น-อีเลฟเว่น สร้างพระสุนทรีวาณีลอยองค์มอบแก่ผู้สวดมนต์ตามแบบที่ท่านพระครูธรรมธร (สุภาพ จิตฺตสุโภ) ย่อจากองค์บูชาหน้ารถได้ เลี่ยมห้อยคอได้
อนึ่ง ข้าพเจ้าได้ขอให้อาจารย์กฤษณะ สุริยกานต์ ซึ่งเป็นจิตรกรเขียนภาพพุทธประวัติ ๓ มิติ (พิมพ์ที่สำนักพิมพ์ธรรมสภา) ได้บริกรรมคาถาพระสุนทรีวาณีแล้วเขียนภาพโดยยึดแบบดั้งเดิมของสมเด็จพระวันรัต (แดง) แต่ขอให้จัดสัดส่วนตามลักษณะงานปั้นซึ่งก็สำเร็จแล้ว จึงขอนำภาพพระสุนทรีวาณีทั้ง ๓ แบบมาแสดงเป็นหลักฐานไว้
ข้าพเจ้าดีใจปีติเป็นอย่างยิ่ง ที่โรงเรียนสาธิตประสานมิตรมัธยม (มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ) โดยผู้อำนวยการและคณะครูอาจารย์ กรรมการสถานศึกษา และศิษย์เก่า จะปรารภสร้าง โดยกราบบังคมทูลเชิญสมเด็จเพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี เสด็จในพิธีการหล่อและพุทธาภิเษกจัดเป็นตำนานที่บันทึก และโดยพระบารมีอันเปี่ยมล้นด้วยพรหมวิหารธรรมของพระองค์ จะเป็นกระแสแห่งเมตตา ปัญญา วาสนา บารมี ทุกประการ
ท้ายนี้ ต้องขอประทานอภัยที่การเขียนเล่าเรื่องนี้ มีคำว่าข้าพเจ้าแทนคำว่าอาตมาอาจจะดูไม่สุภาพนักหรืออาจดูว่าเป็นคำเขื่อง แต่เพราะเป็นเรื่องเล่า จึงขออนุญาตและขออภัยที่ใช้ คำว่าข้าพเจ้ามา โอกาสนี้
พระคาถาสุนทรีวาณี
มุนินทะ วะทะนัมพุชะ คัพภะสัมภะวะ สุนทะรี
ปาณีนัง สะระณัง วาณี มัยหัง ปิณะยะตัง มะนังฯ
ข้าพระพุทธเจ้าขออาราธนานางฟ้า คือพระไตรปิฎก ผู้มีรูปอันงาม เกิดแต่ท้องประทุมชาติ คือพระโอษฐ์ของพระพุทธเจ้า ผู้เป็นใหญ่กว่านักปราชญ์ทั้งหลาย มะนัง ขอจงมาสู่มโนของข้าพเจ้า ข้าพเจ้าจะปฏิบัติละเสียซึ่งอาสวะกิเลส ที่ดองอยู่ในสันดานของข้าพเจ้า ทั้งอย่างหยาบ อย่างกลาง และอย่างละเอียดให้สิ้นไปเสื่อมไป ข้าพเจ้าจะไม่ทำให้เป็นอัตตกิลมถานุโยค ไม่ทำให้ลำบากแก่สังขาร
                               เหรียญพระสุนทรีวาณี วัดสุทัศน์ ปี 2495
เหรียญสุนทรีวาณี วัดสุทัศนเทพวราราม นับเป็นเหรียญที่มีชื่อเสียงเป็นที่นิยมของวัดสุทัศนเทพวราราม นอกเหนือไปจากบรรดาพระกริ่งอันเลื่องชื่อแล้ว เหรียญสุนทรีวาณี มีการจัดสร้าง 2 ครั้ง โดยใช้ชื่อเดียวกัน ครั้งแรกเป็นเหรียญที่ สมเด็จพระสังฆราช (แพ) สร้างขึ้นในสมัยเป็นที่ พระพรหมมุนี ส่วนอีกครั้งหนึ่งนั้น บรรดาศิษยานุศิษย์ของ พระมงคลราชมุนี (สนธิ์ ยติธโร) ร่วมกันจัดสร้าง เหรียญพระสุนทรีวาณี เพื่อแจกเป็นที่ระลึกในวันพระราชทานเพลิงศพของพระมงคลราชมุนี เมื่อวันที่ 16 พฤษภาคม พ.ศ.2495 ซึ่งเหรียญทั้งสองรุ่นนี้จะมีความแตกต่างกันทั้งเนื้อหามวลสารและลักษณะ พิมพ์ทรง ในที่นี้จะได้กล่าวถึง "เหรียญพระสุนทรีวาณี พระมงคลราชราชมุนี" ครับผม

พระมงคลราชมุนี หรือ พระศรีสัจจญาณมุนี หรือที่ในวงการนักนิยมสะสมพระเครื่องและเหรียญคณาจารย์มักเรียกขานว่า "เจ้าคุณศรี (สนธิ์)" อันเป็นสมณศักดิ์ก่อนที่จะได้รับพระราชทานเป็นพระราชาคณะที่พระมงคลราชมุนี ท่านเกิดที่ ต.บ้านป่าหวาย กิ่ง อ.พระพุทธ บาท จ.สระบุรี เมื่อปี พ.ศ.2446 อายุได้ 11 ขวบ บิดาก็ถึงแก่กรรม มารดาจึงพาเข้ากรุงเทพฯ ฝากไว้กับพระภิกษุบุญ ซึ่งเป็นญาติที่วัดสุทัศนเทพวราราม เพื่อศึกษาร่ำเรียน อายุ 13 ปี บรรพชาเป็นสามเณร แล้วย้ายไปศึกษาร่ำเรียนกับพระพุทธิวิถีนายก เจ้าคณะจังหวัดนครปฐม ที่วัดกลางบางแก้ว จ.นครปฐม จนถึงปี พ.ศ.2460 จึงย้ายกลับมาวัดสุทัศนเทพวรารามเช่นเดิม ท่านเป็นผู้ใฝ่รู้ตั้งใจศึกษาวิทยาการต่างๆ จนแตกฉาน สามารถสอบนักธรรมโทได้ตั้งแต่เป็นสามเณร และเมื่ออายุครบบวชในปี พ.ศ.2466 จึงอุปสมบทเป็นพระภิกษุ โดยสมเด็จพระสังฆราช (แพ) เมื่อครั้งเป็นพระพรหมมุนี เป็นพระอุปัชฌาย์ ได้รับฉายา "ยติธโร" ท่านสอบเปรียญธรรมเรื่อยมาจนได้เปรียญ 7 ประโยคในปี พ.ศ.2474 และได้รับแต่งตั้งสมณศักดิ์เรื่อยมา สมณศักดิ์สุดท้ายที่พระมงคลราชมุนี (สนธิ์)
                              พุทธคุณ   เมตตามหานิยม ติดต่อค้าขาย
                              สภาพสวย
                              ราคา   ติดต่อสอบถาม

Close Menu