

พระรูปหล่อโบราณ หลวงพ่อเขียนวัดถ้ำขุเณร พิจิตร
หลวงพ่อเขียน วัดสำนักขุนเณร
จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี
หลวงพ่อเขียน ธัมมรักขิโต พระเกจิดังแห่ง วัดสำนักขุนเณร ต.วังตะกู อ.บางมูลนาก จ.พิจิตร พระอริยสงฆ์ผู้ทรงวาจาศักสิทธิ์เป็นที่เลื่อมใสศรัทธาของเหล่าสาธุชนและคณะศิษยานุศิษย์ มีความเชี่ยวชาญวิทยาคมเป็นที่เลื่องลือไปทั่วสารทิศ จนได้รับการยกย่องจากชาวเมืองพิจิตร
ประวัติ[แก้]
หลวงพ่อเขียน มีนามเดิมว่า เสถียร จันทร์แสง เกิดเมื่อ วันเสาร์ เดือน 4 ปีขาล ตรงกับ พ.ศ. 2399 ที่บ้านตลิ่งชัน ตำบลชอนไพร อำเภอเมือง จังหวัด เพชรบูรณ์ โยมบิดา-มารดา ชื่อ นายทอง และนางปลิด จันทร์แสง มีพี่น้องร่วมท้อง 5 คน ท่านเป็นคนที่ 3
บรรพชา[แก้]
เมื่ออายุได้ 12 ปี พ.ศ. ๒๔๑๑ เกิดความศรัทธาในพระพุทธศาสนา จึงขออนุญาตจากบิดามารดาเข้าบรรพชา ที่วัดทุ่งเรไร ในขณะที่เป็นสามเณร ได้ศึกษาอักขระกับท่านสมภาร พออ่านออกเขียนได้ และได้เรียนภาษาขอม ควบคู่ไปกับภาษาไทย เนื่องด้วยท่านมีความขยันหมั่นเพียร ในการเขียนอ่าน ท่านสมภารจึงได้เปลี่ยนชื่อจาก "เสถียร" มาเป็น "เขียน" นับแต่บัดนั้น
อุปสมบท[แก้]
เมื่ออายุ 20 ปีบริบูรณ์ พ.ศ. ๒๔๒๐ ได้อุปสมบทที่ วัดภูเขาดิน (หรืออีกชื่อหนึ่งว่า วัดภูกระดึง) ซึ่งอยู่ใกล้กับปากน้ำป่าสัก อ.เมือง จ.เพชรบูรณ์ โดยมีพระอธิการประดิษฐ์ เป็นพระอุปัชฌาย์, พระอธิการสอน เป็นพระกรรมวาจาจารย์ และพระอธิการทอง เป็นพระอนุสาวนาจารย์ อย่างไรก็ตาม หลังจากท่านอุปสมบทได้ 1 พรรษา โยมบิดา-มารดา ได้มารบเร้าขอให้ลาสิกขาบท เพื่อไปแต่งงานกับหญิงสาวคนหนึ่ง แต่หลวงพ่อเขียนได้ปฏิเสธด้วยมีความตั้งใจอย่างแน่วแน่ที่จะบวชตลอดชีวิตในพระพุทธศาสนา
วัดวังตะกู[แก้]
จากนั้นท่านได้เดินทางมาที่บ้านวังตะกู อำเภอบางมูลนาก จังหวัดพิจิตร ในปีนั้นทางวัดวังตะกูขาดพระจำพรรษา ทางกำนันตำบลวังตะกูและชาวบ้านได้นิมนต์ท่านให้จำพรรษาที่วัดนี้ ต่อมาท่านได้เริ่มศึกษา ปริยัติธรรมที่วัดเสาธงทอง จังหวัดลพบุรีมีพระอาจารย์ทองป็นผู้สอนท่านอยู่ที่วัดนี้นาน 9 ปี ต่อมาหลวงพ่อเขียนได้เข้ามาศึกษาต่อที่วัดรังษี กรุงเทพมหานครมีท่านเจ้าคุณธรรมกิตติเป็นเจ้าอาวาสในสมัยนั้นต่อมาทางวัดรังษีจะโอนเป็นธรรมยุตนิกายแต่ท่านไม่ยอมจึงได้กลับมาที่วัดเสาธงทองอีกครั้ง ท่านกลับมาจำพรรษาที่วัดเสาธงทองได้ 9 พรรษา กำนันตำบลวังตะกูและชาวบ้านได้มานิมนต์หลวงพ่อเขียนให้มาจำพรรษาที่วัดวังตะกูหลวงพ่อเขียนท่านรับนิมนต์และได้มาจำพรรษาที่วัดวังตะกูอีกวาระหนึ่งตั้งแต่นั้นมา
วัดสำนักขุนเณร[แก้]
หลวงพ่อเขียนได้อยู่ที่วัดวังตะกูจนกระทั่งถึงปี พ.ศ. 2491 กำนันเถาว์ ทิพย์ประเสริฐ์ บ้านสำนักขุนเณร ตอนนั้นท่านยังเป็นกำนันตำบลวังงิ้วพร้อมด้วญาติโยมได้มานิมนต์ท่านให้ไปจำพรรษาที่วัดสำนักขุนเณรซึ่งอยู่ห่างกันกับวัดวังตะกูเพียง 5 กม.เท่านั้น หลวงพ่อท่านเดินทางไปมาระหว่าง 2 วัดนี้มิได้ขาดจนปี พ.ศ. 2493 หลวงพ่อเขียนจึงตัดสินใจจำพรรษาที่วัดสำนักขุนเณรตั้งแต่นั้นมา
มรณภาพ[แก้]
หลวงพ่อเขียน มีโรคประจำตัวท่านอยู่โรคหนึ่ง นั่นก็คือ โรคหืด ซึ่งเป็นโรคที่ทรมานท่านเป็นอย่าง มาก เมื่อเวลาโรคกำเริบ แต่หลวงพ่อจะไม่แสดงอาการใด ๆ ออกมา เพราะท่านระงับด้วยขันติธรรม ต่อมา เมื่อท่านชราภาพมากขึ้นทุกขณะ ท่านฉันภัตตาหารไม่ค่อยจะได้ ทำให้เรี่ยวแรงหมดไปทุกที คณะกรรมการวัด และศิษยานุศิษย์ จึงได้นำหลวงพ่อไปรักษา ที่สถานพยาบาลในตลาดบางมูลนาก แต่ เนื่องจากความชรา และโรคกำเริบ สุดความสามารถของแพทย์จะรักษาท่านได้ ท่านก็ถึงแก่มรณภาพ ด้วยอาการสงบ ในคืนวันที่ ๒๑ ธันวาคม พ.ศ. ๒๕๐๗ เวลา ๒๓.๕๐ น. สิริรวมอายุได้ ๑๐๘ ปี
เกร็ดประวัติหลวงพ่อเขียน ธัมมรักขิโต ๑
วัดสำนักขุนเณร ตำบลวังงิ้ว อำเภอบางมูลนาก จังหวัดพิจิตร
ข้อมูลจาก เวปพระรัตนตรัย กระดานสนทนาธรรม กระทู้ที่ 00995 โดย คุณ : คนรู้น้อย 28-02-2003
“พูดถึงพระให้หวย ทำให้นึกถึง หลวงพ่อเขียน ขึ้นมาได้ สำหรับองค์นี้ท่านให้หวยจนมีชื่อ วันหนึ่งไปเยี่ยมท่าน มีโยมผู้หญิงคนหนึ่ง เอากล้วยน้ำว้าสุกมาถวายท่าน ๒ หวี ความจริงแกตัดมา ๒ เครือแต่ทิ้งไว้ข้างนอกห้อง พอถวายกล้วยแล้วแกก็นั่งคุย สักพักหนึ่งหลวงพ่อเขียนบอกว่า
“โยม ... อย่าคุยนาน เดี๋ยวหมามันจะกินกล้วย”
โยมคนนั้นแกรีบลาออกมาข้างนอก ก็จริงของท่าน เห็นหมามันล้อมกันแล้ว แหม ... ตัวอยู่ในห้อง แต่ตามองออกมาเห็นข้างนอกได้
คราวหนึ่งมีคนเข้าไปขอหวยท่าน ท่านก็เขียนให้ทันที
“เรามันชื่อเขียน เขียนเสียอย่าง ... เขียนมันดะ ใครขอเรา เราก็เขียนเรื่อย ถูกบ้างไม่ถูกบ้าง”
ท่านเคยบ่นให้ฟังอย่างนั้น อันที่จริงแล้ว เวลาไปขอหวย หลวงพ่อเขียนต้องขอให้เป็น ถ้าขอเป็นรับรองว่าถูก
“หลวงพ่อครับ ขอหวยให้ผมสักงวดเถอะครับ ครั้งนี้เป็นครั้งสุดท้ายแล้วครับ จะไม่มารบกวนหลวงพ่ออีกแล้ว”
ถ้าขอแบบนี้ รับรองว่าถูกแน่นอน แต่ท่านไม่ได้ให้ชุดเดียวนะ อาจจะให้มาสองสามชุด ถ้าลาภน้อยก็ถูกน้อยหน่อย ถ้าลาภมาก ท่านให้มาชุดเดียวถูกเลยแบบนี้จะได้เงินมาก ส่วนไอ้คนที่ไม่มีลาภถึงจะให้มาหยั่งไงๆ เวลาเอาไปเล่นก็ไม่ตรงตามนั้น นั่นเป็นเพราะลาภของเขายังไม่มี
มีอยู่คราวหนึ่ง ท่านเกิดให้ตรงๆ ขึ้นมา เวลาไปขอท่านก็บอกว่า
“ไข่ เจ็ด เจ็ด ๆ”
ไข่ นี่มันหมายถึงศูนย์ ส่วนอีกองค์หนึ่งที่อยู่ใกล้ๆ กัน ท่านก็ให้ “ศูนย์ จอ จอ” (แสดงว่าวัดแถวนั้น มีอาจารย์ให้หวยแม่นอีกองค์หนึ่ง เหมือนกัน แต่หลวงพ่อท่านไม่ได้บอกไว้ว่าชื่ออะไร) แหม ... ไอ้จอนี่มันจะเป็นแปดไปได้ยังไงใช่มั้ย โอ๊ะ ... ถูกกันหนักเลยคราวนั้น ไอ้คนเป็นเจ้ามือ มันก็โกรธเอาซี คิดฆ่าหลวงพ่อเขียน เขาก็มานิมนต์ท่านไปฉันเพลที่บ้านของเขา หลวงพ่อเขียนก็สั่งลูกศิษย์ว่า
“แกเอายาหมู่ไปด้วยนะ พอข้าลงมือฉันข้าว เอ็งก็ฝนยาทันทีเลยนะ พอข้าจะกินน้ำ เอ็งก็ส่งยามาให้ข้า”
ท่านสั่งแค่นั้น ไม่ได้บอกใครเลยว่าท่านจะถูกวางยาพิษ พอไปแล้วเขาก็ให้กินยาพิษจริงๆ ท่านฉันเสร็จแล้วก็เดินกลับ พอมาถึงวัดก็นอนไป ๓ วัน มันลุกไม่ไหว มีคนเข้าไปถาม
“หลวงพ่อรู้ไหม ว่าเขาจะวางยาพิษ” “รู้”
“ก็เมื่อรู้แล้ว ทำไมหลวงพ่อถึงไปล่ะครับ”
“เอ้า ! ก็เขาให้ไปนี่ ... เขาให้ไป ข้าก็ไป”
“แบบนี้ เขาจะบาปไหมครับ หลวงพ่อ”
“ข้าไม่รู้ บาปหรือไม่บาป เอ็งต้องไปถามไอ้คนทำซี”
“ถ้าอย่างนั้น แบบนี้จะมีโทษถึงไหน”
“โน่นแหละ ... มันเอาไฟเผาบ้านเอง”
อีก ๒ วัน ไฟไหม้โรงสี นี่ ! โทษแบบนี้โดนไฟเผาบ้าน นี่ท่านไม่ได้แช่งนะ แต่โทษมันเป็นไปตามนั้น ถ้าท่านจะแช่งก็มีอยู่คำเดียว ใครต่อใครเขากลัวกันมาก “ใครอย่าฝ่าฝืนนะ ถ้าใครฝ่าฝืนตาแตก”แค่นั้นแหละ ถ้าท่านคิดจะแช่ง และถ้าจะดูกันจริงๆ แล้ว ก็ไม่ใช่คำแช่งอะไร เป็นคำสำหรับปรามคนมากกว่า
พูดถึงวาจาสิทธิ์ของท่าน ก็เห็นมีอีกเรื่องหนึ่ง ปกติท่านมีม้าอยู่ตัวหนึ่ง มีคนเขาถวายให้ท่าน ไอ้ม้าตัวนี้มันก็เที่ยวกินหญ้ากินฟางไปตามภาษาของมัน วันหนึ่งมันคงจะเพลินไปหน่อย จึงไปกินเอาข้าวของเขาเข้า เจ้าของข้าวจึงเอาปืนมายิงเข้าให้ ไอ้ม้ามันถูกยิงมันก็วิ่งมาถึงหน้ากุฏิท่าน ยืนเลือดท่วมตัวทำท่าจะตาย ท่านโผล่หน้ามาพูดว่า
“เออ ... เอ็งจะมาตายตรงนี้ได้เร๊อะ ใครเขายิงเอ็ง เอ็งก็ไปตายหน้าบ้านเขาซิ ใครเขาทำเอ็งหยั่งไง ก็เป็นอย่างนั้นแหละ”
ท่านพูดเท่านั้นเอง ไอ้ม้าก็วิ่งกลับไป พอไปถึงหน้าบ้านกำนันมันก็ล้ม ..ตาย แหม ... ดีเหมือนกันแฮะ สั่งให้วิ่งกลับไปก็ได้ ต่อมาอีก ๒ วันกำนันก็ถูกยิงตาย เราเลยถามท่านว่า
“หลวงพ่อไปแช่งเขารึ”
“ก็กรรมมันเป็นอย่างงั้น แล้วเอ็งจะให้ข้าพูดยังไงล่ะ”
ก็เป็นอันว่าหมดเรื่องกันไป สาเหตุที่รู้จักกับท่านก็เพราะเลขท้าย ๓ ตัว รางวัลที่ ๑ นั่นแหละ ไอ้เรื่องการพนันนี่ ฉันไม่ได้เล่นเลย จึงนึกสงสัยว่า เขาเล่นกันยังไงนะ ก็รางวัลที่ ๑ มันมีตั้งหกตัว แล้วนี่เล่นกันแค่ ๓ ตัวเท่านั้น นั่นเรามันฉลาดถึงขนาดนั้น
ต่อมา ก็ขึ้นไปทางมโนรมย์นี่แหละ เขาก็คุยกันถึงเรื่องเลขท้าย ๓ ตัวกันอีก ทนเก็บความสงสัยหนักเข้าไม่ไหว จึงถามนายตำรวจคนหนึ่งที่นั่งคุยอยู่ด้วย เขาก็อธิบายให้ฟัง
“แถวนี้ พระที่ให้หวยแม่นๆ น่ะ มีบ้างไหม”
“มีครับ หลวงพ่อเขียน วัดบางสำเนียง” นายอำเภอที่นั่งคุยอยู่ด้วยตอบ
“แกรู้จักมั้ย” หันไปถามผู้กอง
“รู้จักครับ”
“พรุ่งนี้ไปด้วยกันไหมล่ะ หวยออกพอดี”
วันรุ่งขึ้น มีนายอำเภอคนหนึ่ง ผู้กองคนหนึ่ง แต่งกายนอกเครื่องแบบ และเราอีกคนหนึ่ง ไปถึงอำเภอบางมูลนาก จังหวัดพิจิตร แล้วจ้างมอเตอร์ไซด์ไปอีกต่อหนึ่ง กว่าจะถึงเกือบ ๔ โมงเย็นแล้ว สมัยนั้นหวยออก ๕ โมงเย็น พอขึ้นไปก็เห็นชาวบ้านนั่งล้อมหลวงพ่อเขียนอยู่เกือบ ๒๐๐ คนมั้ง หวยมันจวนออกแล้วนี่ ใช่ไหม ชาวบ้านเขาก็มานั่งฟังกันซี พอเราโผล่หน้าขึ้นไปเท่านั้นแหละ
“เฮ้ย ! พวกเรา วันนี้จะมีคนดี เขามาลองดีเราโว้ย ... เอาซิเราก็มีดีจะอวดเหมือนกัน” ท่านว่าเข้านั่น ฮึ ! เอากับท่านซิ นักเลงจริงๆ นะเนี่ย พอเราเข้าไปกราบๆ ท่านก็ถามว่า
“มาธุระอะไร”
“หลวงพ่อทราบแล้วก็ไม่ต้องพูดกันมาก กระผมมาตามที่หลวงพ่อทราบ”
“เฮ้ย ! เล่นทันมั้ยเนี่ย” ท่านหันไปถามคนข้างๆ
“ไม่ทันแล้วครับ ใกล้จะออกแล้ว ไม่มีเจ้ามือ”
“เออ ... งั้นดีละ ! เอ้า ! ทุกคนที่อยู่ในนี้ห้ามลุกไปไหนนะ ถ้าใครลุกก่อนหวยออก ให้ตาแตก”
พวกชาวบ้านนั่งกันจ๋องไม่กล้าลุกไปไหน เพราะกลัวตาแตก
“เอ้า ! ต้องการรางวัลอะไร” ท่านหันมาถาม
“รางวัลที่ ๑ ครับ”
“จะเอากี่ตัว”
“เอา ๓ ตัวครับ”
“ฮื่ย ! ... หกตัว รางวัลที่ ๑ ไม่มี ๓ ตัว” ท่านว่าแล้วก็เขียนให้ทั้งหกตัว
“เอารางวัลที่ ๒ มั้ย”
“ไม่เอาครับ ขอรางวัลเลขท้าย ๓ ตัว”
“เอา ๒ ตัวอีกมั้ย ข้าแถมให้”
ว่าแล้วท่านก็เขียนเลขท้าย ๓ ตัวทั้งหมด และ เลขท้าย ๒ ตัวให้อีกอีกรางวัลหนึ่ง
ตอนนั้น เราเอาวิทยุติดตัวไปด้วย ก็เปิดฟังดู พอหวยออกปรากฏว่า ถูกหมดทุกตัว ไม่มีผิดเลยซักตัวเดียว ออกตรงหมดเลย รุ่งขึ้นก็เข้าไปลาท่านกลับ ท่านจึงถามอีกว่า
“เออ แกอยากได้อีกไหม”
“จะเอาไปทำไมครับ”
“เอ้า ก็เอาไปเล่นน่ะซี”
“พระเล่นได้หรือครับ”
“อื่อ ... จริงฮิ ! พระเล่นไม่ได้ เอ้า ! เล่นไม่ได้ข้าเขียนไปให้ดูซัก ๒๐ งวด” ว่าแล้วท่านก็เขียนเลขรางวัลที่ ๑ ครบทั้งหกตัว เลขท้าย ๒ ตัว เขียนให้จนครบทั้ง ๒๐ งวดเลย แล้วท่านก็ส่งให้
“เอ้า ! เอาไปดู ๒๐ งวด แต่ห้ามให้คนอื่นดูนะ ถ้าให้ใครดูแกตาแตก”
ซวยเลยเรา ... แหม ที่จริงน่าจะให้คนแอบดูตาแตก เราจะไม่ว่าซักคำ ถ้าเราโกรธใครจะได้ให้มันดูซ๊ะตาแตกเลย นี่ดันบอกให้เราตาแตกถ้าให้คนอื่นดู ฮื่อ ! เป็นงั้นไป
“ถ้าแกต้องการจะรวย แกมาเอาเลย งวดที่ ๒๑ ฉันจะให้ แกจะรวยงวดนั้น”
“ผมไม่เอาหรอกครับ ถ้าผมต้องการจะรวย ผมสึกดีกว่า ถ้าผมยังนุ่งสบงห่มจีวรอยู่ ผมไม่ยอมเล่นแน่”
“เออ ... ดีๆ”
“หลวงพ่อครับ ! แล้วมันรู้ได้ยังไงครับ”
“โอ้ ... โอ้แกมันระยำ ... สตางค์มีอยู่ในกระเป๋าใช้ไม่เป็นนี่หว่า เขาใช้อนาคตังสญาณ แหม ... ไม่น่าจะโง่บัดซบเลย”
ที่จริงน่าจะชมว่าเราฉลาดนะ
“ใช้ยากไหมครับหลวงพ่อ”
“ไม่ยงไม่ยากอะไรหร๊อก อย่าใช้มันหนัก ให้ใช้เบาๆ”
พอเราลาท่านกลับ เจ้าสองคนนั่นก็รายงานเลย
“หลวงพ่อครับ ผมมาเนี่ย ค่ารถไฟผมก็เสีย ค่าอาหารผมก็เสีย ค่ารถมอเตอร์ไซด์ผมก็เสีย ส่วนพระไม่ได้เสียสตางค์เลย”
“โฮะ ! กูไม่ได้ใช้ให้มึงมานี่หว่า ไอ้ห่า ... ไอ้นี่เป็นนายอำเภอใช่มั้ย แล้วก็ไอ้นี่ เป็นผู้กองใช่มั้ย ... มึงจะมาจับกูเร๊อะ”
“ครับ ! ผมตั้งใจมาจับ แต่ไม่ได้จับหลวงพ่อ ผมตั้งใจมาจับตัวเลข”
“เออ ... มึงพูดถูกฮิ พระต้องการอยากจะรู้จริง ว่าคนรู้จริงมันเป็นอย่างไร แต่นี่มึงมันมาคนละงานคนละเรื่องเลยนี่หว่า กูให้ไม่ได้หรอก เดี๋ยวพวกมึงไปทำพวกเจ้ามือเขาฉิบหายหมด”
ไอ้เจ้าสองตัวนั่นทำหน้าซีด
“ให้มันไปเถอะครับหลวงพ่อ ไอ้สองตัวนี่มันก็ได้แค่เงินเดือน แล้วก็ได้ไม่ครบด้วยเพราะมันคอยช่วยผมอยู่เรื่อยๆ” เราก็เลยบอกท่านไปตามตรง
“เอ้า ! ถ้าแกยืนยันอย่างนั้น ข้าก็จะให้ ... ๓ ตัวเนี่ยรางวัลที่ ๑ นะโว้ย มึงเอาไปไม่ต้องกลับ เล่นตามนี้เลย”
เท่านั้นแหละ ... เจ้าสองตัวนั่น ดีอกดีใจกันยกใหญ่ หน้าตาผ่องใสรีบก้มลงกราบๆ พอเงยหน้าขึ้นมา
“เฮ้ย ห้ามเล่นเกินคนละ ๒๐ บาทนะโว้ย ใครเล่นเกิน ๒๐ บาทให้ตาแตก” เท่านั้นเอง หน้าที่มีเลือดฝาดก็ซีดเป็นไก่ต้มเหมือนเดิม
“เฮ่ย ๒๐ บาท มึงก็ได้เลยทุนที่ออกไปให้พระแล้วนะโว้ย”
ขณะที่นั่งกันมาในรถไฟ ไอ้สองตัวนั่นก็บ่นกันหงุงหงิงๆ หาว่าได้แค่ ๒๐ บาทเท่านั้นไม่พอกิน
“พวกมึงได้เงินเดือนเท่าไหร่วะ ๑๒๐ บาทใช่ไหม นี่ท่านให้แทง ๒๐ บาทก็ได้ตั้ง หมื่นกว่าแล้ว มึงรับเงินเดือนกี่ปีวะ ถึงจะได้เท่านี้”
“แหม ... หลวงพี่เก๊าะ หนี้สินพวกผมมันก็มีเสียด้วย”
แน่ะ ! ฟังมัน ดันงัดหนี้ขึ้นมาอวดซ๊ะแล้ว เราจึงถามมันว่า “เมื่อกี้หลวงพ่อท่านสั่งมาว่ายังไงวะ”
“ห้ามเล่นเกินคนละ ๒๐ บาทครับ”
“ทุด ! ไอ้พวกมึงนี่ควรจะลาออกได้แล้ว”
“อ้าวทำไมล่ะครับ” เจ้าสองตัวนั่นตีหน้าเหรอหรา
“ก็โง่บัดซบหยั่งงี้ ... ราษฎรบรรลัยหมดซิ” “ทำไมละครับ” ยังไม่ยอมฉลาดอีก
“ไอ้ขี้หมาเอ้ย ... ก็ท่านไม่ได้จำกัดว่าให้มึงเล่นคนเดียวนี่หว่า ท่านสั่งไม่ให้เล่นเกินคนละ ๒๐ บาทเท่านั้น ก็ไปให้เมียมึงเล่นซิ ๒๐ บาท มีลูกกี่คนๆ ก็คนละ ๒๐ บาทๆ ...”
แหม ... มันดีอกดีใจกันยกใหญ่ พอกลับไปถึงบ้าน มันมีลูกกี่คนๆ เล่นแทนหมด มีเมียมีคนในบ้านเท่าไหร่ พวกมันเล่นแทนหมด ไอ้คนถูกเล่นแทนไม่รู้เรื่องเลย
พอหวยออก ปรากฏว่าถูกกันคนละหลายแสน มันให้คนที่เล่นแทนคนละร้อยมั่ง สองร้อยมั่ง ไอ้พวกที่ถูกเล่นแทนดีใจกันใหญ่ที่อยู่ๆ ก็ได้รับแจกคนละตั้งร้อยสองร้อย ที่ไหนได้ไอ้ระยำสองตัวนั่นมันซัดซะไม่รู้เท่าไหร่ สมัยนั้นร้อยสองร้อยก็มากโขแล้วนะ พอเจอหน้ากันมันบอก
“จะให้ผมออกงานเมื่อไหร่ก็ได้”
แน่ ! ฟังมันคุยมั่ง คราวนั้นเล่นเอารวยกันจมไปเลย แต่ว่าไอ้ตัวนายอำเภอ มันได้มากกว่าเขาหน่อย เพราะมันมีลูกมากกว่าเขา
“เฮ้ย ... แล้วพวกมึงได้เล่นแทนหมากันมั่ง หรือเปล่าวะ”
“โอ้โฮ ... ผมลืมไปครับ”
“ทุด !... ไอ้ระยำ ... ควรจะแทนหมาอีกตัวละ ๒๐ บาท แมวกี่ตัวๆ ก็ตัวละ ๒๐ บาท จิ้งจกตุ๊กแกมีกี่ตัวๆ จดไว้ แล้วเล่นแทนให้หมด ตัวละ ๒๐ บาทๆ” ไอ้สองตัวนั่นตบอกผาง ครางดังเฮ้อ ...
แหม ! มันไม่ฉลาดเหมือนพระเลยนิ นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า จบแล้ว เอวังก็มีด้วยประการฉะนี้ สวัสดี ...
พุทธคุณ ค้าขาย โชคลาภ แคล้วคลาดปลอดภัย
สภาพ ผ่านการใช้ ดูง่าย
ราคา ติดต่อสอบถาม